หลังอ่านบทความนี้แล้วลองกลับไปอ่านตอนแรกอีกครั้งหนึ่ง แล้วเอาเรื่องราวผูกเข้าหากัน มันไม่ใช่ความบังเอิญหรอกครับ เพราะโครงการ "Depopulation" หรือความพยายามลดปริมาณประชากรโลกเค้าทำกันมาได้นับร้อยปีแล้วล่ะครับ และเจ้าน้ำตาลเทียมนี่เป็นเพียง agent หรือเครื่องมือเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ยังมีอีกมากคือ น้ำอัดลม, นมวัว, ชีส, ผงชูรส, โดนัท, ฟาสฟู๊ด และอีกหลายๆอย่างที่เป็นแฟรนไชส์และได้รับการโปรโมทในระดับโลกแทบทั่งสิ้น (โดยเฉพาะที่มาจากสหรัฐ) ซึ่งมันไม่ได้มีแค่เพียงความสะดวกและอร่อยเท่านั้นครับ แต่มันคือการ Soft Kill หรือการฆ่าแบบนุ่มนวล!!!
และอาหารที่ผมกล่าวมาข้างต้นนี่แหละครับ คือสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บหลักๆในศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมา ทั้งโรคมะเร็ง หัวใจ เบาหวาน ความดัน และอีกสารพัดโรคร้ายแรง "ที่ไม่มีตัวเชื้อโรค" ลองค้นหาข้อมูลดูครับ "ยังไงก็เจอ" เพียงแต่ใช้คีย์เวิร์ดให้ถูกเท่านั้นเอง แล้วอย่างที่บอกครับ เพียงคลิกเมาส์ไม่กี่ครั้งคุณอาจจะช่วยชีวิตคนได้อีกมหาศาลไม่ให็เป็น "เหยื่อ" ของพวกเค้าเพราะ "อาหารพิษ" เหล่านี้
แต่ทำไมวงการแพทย์สมัยใหม่ถึงไม่กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ นั่นก็เพราะวิชาการแพทย์แผนฝรั่งจะไม่มีการสอนถึง "ที่มา" ของโรคครับ แต่จะสอนว่าเกิดการผิดปรกติที่ระบบไหนแทน หรือเรียกว่า "Disorder" ซึ่งก็มีหมอแม้แต่อาจารย์หมอจำนวนมากมายที่เสียชีวิตเพราะโรคเหล่านี้ แต่โรงเรียนแพทย์ฝั่งตะวันตกจะสอนเพียงว่ารักษาอย่างไรและ "ใช้ยาตัวไหน" ก็คือเค้า "ให้คุณรู้เท่าที่เค้าต้องการให้รู้" ซึ่งมีเพียงไม่กี่บริษัทที่เป็นเจ้าของลิขสิทธ์ยาเหล่านั้น แล้วทุกอย่างก็จะเชื่อมโยงขึ้นไปหาบริษัทในเครือข่าย NWO ในแขนงต่างๆ
หากมีคุณหมอท่านไหนกำลังอ่านบทความนี้อยู่ ท่านลองเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกันครับ แล้วไล่ขึ้นไปหาต้นตอ ทั้งบริษัทยา ทั้งที่มาของโรค ทั้งโรงเรียนแพทย์ Regimen ในการรักษา ชนิดของยาที่ใช้ เงินสนับสนุน เซลส์ขายยา งบประมาณต่างๆ การสัมนา โปรแกรมการท่องเที่ยวต่างประเทศจำนวนมหาศาลเหล่านี้ที่จ่ายออกจากบริษัทยาชั้นนำสัญชาติตะวันตก ผมเชื่อว่าท่านจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้อย่างชัดเจนที่สุดครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นตอบนสุดที่น้อยคนที่จะรู้คือหลักสูตรของ Medical School ต่างๆ เหล่านั้น และเงินสนันสนุนโรงเรียนแพทย์ชั้นนำของโลกมาจากกลุ่ม NWO " เกือบทั้งหมด " โดยเฉพาะสถาบันวิจัยของ Rockyfeller และมหาวิทยาลัยชั้นนำหรือระดับท๊อปเทนของโลกในเครือ "เยซูอิด" ในทวีปยุโรปและอเมริกา ทุกอย่างทำงานสอดประสานกันอย่างเป็น "ระบบ" มาอย่างต่อเนื่องและยาวนานทั้งสิ้น
วิธีการรักษาและยาหลายๆอย่างเช่น การฉายแสงหรือรังสี และ คีโมหรือเคมีบำบัด ออกแบบมาเพื่อ "ซ้ำเติม" และ "ฆ่า" คนไข้โรคมะเร็ง ไม่ใช่การรักษาที่ตรงจุดหรือที่ต้นเหตุ เพียงแต่เค้าสอนมา ให้ตาม Regimen หรือแนวทางการรักษาอย่างนี้เท่านั้น แล้วสุดท้ายก็...ขายยา และทั้งหมดก็เพื่อ "การค้า" และ "การฆ่า" ในที่สุด จะมีผู้ป่วยเพียงน้อยรายที่หายขาดและโรคจะกลับมาใหม่ในไม่ช้าในส่วนอื่นๆของร่างกาย เพราะมะเร็งไม่ใช่โรคของส่วนใดส่วนหนึ่ง หากเป็นโรค "ของระบบ" ของร่างกายโดยรวม แต่แผนฝรั่งกลับให้แนวทางการรักษามุ่งไปที่จุดใดจุดหนึ่งโดยเฉพาะหรือที่เรียกว่า "รอยโรค"!!! และหากไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยเฉพาะ "การกิน" หรือก็คือ Input ที่ใส่เข้าไปในร่างกายที่ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อสารกระตุ้นเหล่านั้นและแสดงผลออกมาเป็นเซลส์ที่เกิดขึ้นใหม่แต่จำเซล์ต้นแบบไม่ได้หรือก็คือเซลส์มะเร็งนั่นเอง
มีคำถามๆหนึ่งที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคมะเร็งหลายๆท่านมักจะถูกถามคือ ถ้าหากมีบุพการีหรือคนในครอบครัวของท่านเองที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ท่านจะสนับสนุนให้ผู้ป่วยเหล่านั้นใช้เคมีบำบัดในการรักษาหรือไม่???
และแล้วเรากลับมาดูบทความในเรื่องน้ำตาลเทียมกันดีกว่าครับ
ติดหวาน หันมาใช้น้ำตาลเทียมดีรึเปล่า?
น.พ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล
ถ้าพูดถึงเรื่องหวาน คนส่วนใหญ่จะนึกถึงน้ำตาล แต่สำหรับคนที่ต้องหลีกเลี่ยงน้ำตาล เพราะป่วยเป็นโรคเบาหวาน หรือโรคอ้วน ก็คงตั้งคำถามอยู่ในใจว่าไม่ให้กินน้ำตาลแล้วจะให้ทำอย่างไร ก็ใจมันอยากจะกิน
หลายๆคนก็เลยหาทางออกด้วยการกินน้ำตาลเทียม คำถามว่า "ติดหวาน แต่ไม่อยากได้น้ำตาล หันมาใช้น้ำตาลเทียมได้ไหมหมอ" คำถามนี้เป็นคำถามที่มักหลุดออกมาจากใบหน้าที่ระโหย และเป็นคำถามที่พบได้บ่อยๆ ที่คลินิกของเรา โดยเฉพาะคนไข้เบาหวาน ที่เราสั่งให้งดน้ำตาลอย่างเด็ดขาด เพราะคนเหล่านี้ถูกเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กจนติดรสหวานไปเสียแล้ว แทนที่จะยอมฝึกลิ้นเสียใหม่ให้ไม่ติดรสหวานซึ่งเป็นเรื่องยาก การหาสารทดแทนรสหวานหรือน้ำตาลเทียมซึ่งเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่าจึงเป็นสิ่งที่คนไข้กลุ่มนี้มักจะทำกัน
หลังจากที่วงการสุขภาพได้ออกมาชี้ให้เห็นผลร้ายของการกินหวานหรือติดน้ำตาลมากขึ้นและมากขึ้น ผู้บริโภคส่วนหนึ่งจึงมีการปรับตัวด้วยการเลือกกินอาหารที่ไม่หวาน ไม่ใส่น้ำตาลแต่ก็ยังมีผู้บริโภคอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังอาลัยอาวรณ์กับรสหวานที่คุ้นลิ้น วงการอาหารและเครื่องดื่มจึงจำเป็นจะต้องมองหาสารให้ความหวานอย่างอื่นมาทดแทน เพื่อจะดึงลูกค้ากลุ่มนี้เอาไว้
สารให้ความหวานที่ถูกค้นพบ แล้วถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารอย่างกว้างขวางก็คือ น้ำตาลเทียมหรือ Aspartame ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคที่ต้องการหลีกเลี่ยงจากน้ำตาลเป็นอย่างดี แต่จะมีใครบ้างไหมที่รู้ว่า กว่า Aspartame จะผ่านองค์การอาหารและยาของอเมริกา (FDA) ออกมาได้นั้นยากเย็นแสนเข็ญเท่าไหร่
ประวัติของ Aspartame หลายคนได้รู้แล้วอาจจะต้องร้องจ๊ากกกกกก เพราะแรกเริ่มเดิมที Aspartame ถูกขึ้นทะเบียนโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐหรือ Pentagon ว่าเป็นอยู่ในกลุ่มอาวุธชีวเคมีเมื่อหลายปีก่อน ก่อนที่จะกลายมาเป็นสารทดแทนความหวานที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม หลายพันชนิด
เส้นทางที่ Aspartame ใช้เดินจากคลังอาวุธเคมีมาสู่โต๊ะอาหารนั้นว่ากันว่ามีขวากหนามมากเหลือเกิน กว่าจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นโต๊ะได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายก็ปาเข้าไปตั้ง 8 ปีแล้วโน่น ทั้งนี้เนื่องจากมีข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์หลายอย่างที่ออกมาชี้ให้เห็นถึงผลเสียของสารตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็นผลเสียต่อระบบประสาท หรือเป็นสารก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง
อย่างไรก็ดีด้วยการผลักดันด้วยทางการเมือง ในที่สุด Aspartame ก็ได้รับใบอนุญาตให้ใช้เป็นสารปรุงแต่งอาหารเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1981 เพราะช่วงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมาธิการอาหารและยา และพลันที่คณะกรรมาธิการเปลี่ยน ใบอนุญาตของ Aspartame ซึ่งเป็นผลงานแรกของคณะกรรมาธิการชุดนี้ก็ได้รับอนุมัติโดยฉับพลันทันทีเช่นกัน
ที่ตลกไปกว่านั้นคือ หนึ่งในคณะกรรมาธิการคณะนี้ ต่อมาถูกบังคับให้ลาออกจากตำแหน่ง เพราะว่ามีส่วนพัวพันเรื่องผลประโยชน์ต่างๆ มากมาย หลังจากที่ลาออกไปแล้ว ก็เลยไปขอกินตำแหน่งนักวิทยาศาสตร์ที่ปรึกษาระดับสูงของบริษัทผู้ผลิต Aspartame ซะงั้น
ไหนๆ ก็ได้รับใบอนุญาตแล้ว ตั้งแต่นั้นมา Aspartame ก็ถูกใช้อย่างกว้างขวาง และเริ่มมีผลเสียต่างๆ ปรากฏออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ เลยพบว่ามีผู้ป่วยที่ป่วยจากการบริโภค Aspartame แล้วมีอาการผิดปกติทางร่างกายได้หลากหลายมาก อาการเหล่านี้ได้แก่
โรคระบบประสาทเสื่อม โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซม์เมอร์ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ เมื่อยล้าและอ่อนแรงเรื้อรัง (Chronic fatigue syndrome) สมาธิสั้น โรคตื่นตกใจง่าย (Panic disorder) โรคซึมเศร้า โรคภูมิแพ้ต่อตัวเอง (Lupus) โรคเบาหวาน เด็กคลอดแล้วพิการ ต่อมไธรอยด์ทำงานน้อยผิดปกติ (Hypothyroidism) โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
นอกจากนี้แล้ว อาการของโรคบางอย่างก็อาจจะเกิดจาก Aspatame นั่นได้แก่ อาการปวดหัว อาการปวดหัวไมเกรน อาการคลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ ชา กล้ามเนื้อเกร็ง บางรายอาจจะมีอาการของผื่นคัน อาการซึมเศร้า ใจสั่น นอนไม่หลับ ไปจนถึงกระทั่งอาการปวดข้อไม่ทราบสาเหตุ ถ้าใครที่บริโภค Aspartame อยู่ล่ะก็ คุณอยู่ในข่ายสงสัยแล้วล่ะว่า อาจจะต้องพิษของ Aspartame เข้าให้แล้ว ทางที่ดีควรหยุดการบริโภค Aspartame ดู ซึ่ง 2 ใน 3 ของคนที่โดนพิษ Aspartame จะมีอาการดีขึ้นได้ภายในไม่กี่วัน และจะดีไปตราบเท่าที่ไม่หันกลับไปบริโภค Aspartame อีก
ตอบคำถามที่ว่า "ไม่กินน้ำตาลแล้ว หันมาใช้น้ำตาลเทียมดีไหมหมอ?" ความเห็นส่วนตัวของผมก็คงตอบว่า "ไม่ดีครับ เพราะติดน้ำตาลว่าแย่แล้ว ติด Aspartame ดูเหมือนจะแย่กว่าซะอีก"
ก็มักจะมีคำถามตามมาอีกว่า งั้นจะทำยังไงล่ะ ไม่มีสารทดแทนความหวานเลยชีวิตมันจะอยู่ได้ยังไงเนี่ย ตอบสั้นๆ ครับว่า "ก็หัดลิ้นตัวเองซะใหม่สิครับ ให้มันไม่ติดหวาน" ฟังดูเหมือนกำปั้นทุบดิน แต่เป็นวิธีที่ต้องทำ เพราะถ้าเราฝึกลิ้นของเราให้กินอาหารแบบธรรมชาติสักพัก ลิ้นเราจะมีความรู้สึกไวกับความหวานตามธรรมชาติมากขึ้นเอง บางทีกินผักนึ่งเปล่าๆ เรายังรู้สึกว่ามันหวานได้เลยครับ การฝึกที่ว่านี้ ถ้าเป็นไปได้ให้ฝึกตั้งแต่ยังเด็กจะดีที่สุด ดังนั้น เด็กที่ถูกเลี้ยงมาด้วยน้ำอัดลม หรือขนมหวานพวกนี้ก็คงลำบากหน่อย เพราะลิ้นมันชาด้านกับความหวานที่ถูกประเคนใส่ไปเสียแล้ว ถ้ารักลูกก็อย่าให้เขากินแต่อาหารประเภทนี้เป็นหลัก ส่วนพวกไม้แก่ดัดยากนอกจากจะต้องจับเข้าคอร์สดัดนิสัยกันแล้ว บางทีก็จำเป็นต้องใช้วิธีการสั่งจิตใต้สำนึกเข้าช่วยด้วยอีกแรง เรียกว่าสะกดจิตให้หายอยากหวานกันไปข้างหนึ่งเลยก็ว่าได้
น.พ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล
ถ้าพูดถึงเรื่องหวาน คนส่วนใหญ่จะนึกถึงน้ำตาล แต่สำหรับคนที่ต้องหลีกเลี่ยงน้ำตาล เพราะป่วยเป็นโรคเบาหวาน หรือโรคอ้วน ก็คงตั้งคำถามอยู่ในใจว่าไม่ให้กินน้ำตาลแล้วจะให้ทำอย่างไร ก็ใจมันอยากจะกิน
หลายๆคนก็เลยหาทางออกด้วยการกินน้ำตาลเทียม คำถามว่า "ติดหวาน แต่ไม่อยากได้น้ำตาล หันมาใช้น้ำตาลเทียมได้ไหมหมอ" คำถามนี้เป็นคำถามที่มักหลุดออกมาจากใบหน้าที่ระโหย และเป็นคำถามที่พบได้บ่อยๆ ที่คลินิกของเรา โดยเฉพาะคนไข้เบาหวาน ที่เราสั่งให้งดน้ำตาลอย่างเด็ดขาด เพราะคนเหล่านี้ถูกเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กจนติดรสหวานไปเสียแล้ว แทนที่จะยอมฝึกลิ้นเสียใหม่ให้ไม่ติดรสหวานซึ่งเป็นเรื่องยาก การหาสารทดแทนรสหวานหรือน้ำตาลเทียมซึ่งเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่าจึงเป็นสิ่งที่คนไข้กลุ่มนี้มักจะทำกัน
หลังจากที่วงการสุขภาพได้ออกมาชี้ให้เห็นผลร้ายของการกินหวานหรือติดน้ำตาลมากขึ้นและมากขึ้น ผู้บริโภคส่วนหนึ่งจึงมีการปรับตัวด้วยการเลือกกินอาหารที่ไม่หวาน ไม่ใส่น้ำตาลแต่ก็ยังมีผู้บริโภคอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังอาลัยอาวรณ์กับรสหวานที่คุ้นลิ้น วงการอาหารและเครื่องดื่มจึงจำเป็นจะต้องมองหาสารให้ความหวานอย่างอื่นมาทดแทน เพื่อจะดึงลูกค้ากลุ่มนี้เอาไว้
สารให้ความหวานที่ถูกค้นพบ แล้วถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารอย่างกว้างขวางก็คือ น้ำตาลเทียมหรือ Aspartame ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคที่ต้องการหลีกเลี่ยงจากน้ำตาลเป็นอย่างดี แต่จะมีใครบ้างไหมที่รู้ว่า กว่า Aspartame จะผ่านองค์การอาหารและยาของอเมริกา (FDA) ออกมาได้นั้นยากเย็นแสนเข็ญเท่าไหร่
ประวัติของ Aspartame หลายคนได้รู้แล้วอาจจะต้องร้องจ๊ากกกกกก เพราะแรกเริ่มเดิมที Aspartame ถูกขึ้นทะเบียนโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐหรือ Pentagon ว่าเป็นอยู่ในกลุ่มอาวุธชีวเคมีเมื่อหลายปีก่อน ก่อนที่จะกลายมาเป็นสารทดแทนความหวานที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม หลายพันชนิด
เส้นทางที่ Aspartame ใช้เดินจากคลังอาวุธเคมีมาสู่โต๊ะอาหารนั้นว่ากันว่ามีขวากหนามมากเหลือเกิน กว่าจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นโต๊ะได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายก็ปาเข้าไปตั้ง 8 ปีแล้วโน่น ทั้งนี้เนื่องจากมีข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์หลายอย่างที่ออกมาชี้ให้เห็นถึงผลเสียของสารตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็นผลเสียต่อระบบประสาท หรือเป็นสารก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง
อย่างไรก็ดีด้วยการผลักดันด้วยทางการเมือง ในที่สุด Aspartame ก็ได้รับใบอนุญาตให้ใช้เป็นสารปรุงแต่งอาหารเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1981 เพราะช่วงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมาธิการอาหารและยา และพลันที่คณะกรรมาธิการเปลี่ยน ใบอนุญาตของ Aspartame ซึ่งเป็นผลงานแรกของคณะกรรมาธิการชุดนี้ก็ได้รับอนุมัติโดยฉับพลันทันทีเช่นกัน
ที่ตลกไปกว่านั้นคือ หนึ่งในคณะกรรมาธิการคณะนี้ ต่อมาถูกบังคับให้ลาออกจากตำแหน่ง เพราะว่ามีส่วนพัวพันเรื่องผลประโยชน์ต่างๆ มากมาย หลังจากที่ลาออกไปแล้ว ก็เลยไปขอกินตำแหน่งนักวิทยาศาสตร์ที่ปรึกษาระดับสูงของบริษัทผู้ผลิต Aspartame ซะงั้น
ไหนๆ ก็ได้รับใบอนุญาตแล้ว ตั้งแต่นั้นมา Aspartame ก็ถูกใช้อย่างกว้างขวาง และเริ่มมีผลเสียต่างๆ ปรากฏออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ เลยพบว่ามีผู้ป่วยที่ป่วยจากการบริโภค Aspartame แล้วมีอาการผิดปกติทางร่างกายได้หลากหลายมาก อาการเหล่านี้ได้แก่
โรคระบบประสาทเสื่อม โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซม์เมอร์ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ เมื่อยล้าและอ่อนแรงเรื้อรัง (Chronic fatigue syndrome) สมาธิสั้น โรคตื่นตกใจง่าย (Panic disorder) โรคซึมเศร้า โรคภูมิแพ้ต่อตัวเอง (Lupus) โรคเบาหวาน เด็กคลอดแล้วพิการ ต่อมไธรอยด์ทำงานน้อยผิดปกติ (Hypothyroidism) โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
นอกจากนี้แล้ว อาการของโรคบางอย่างก็อาจจะเกิดจาก Aspatame นั่นได้แก่ อาการปวดหัว อาการปวดหัวไมเกรน อาการคลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ ชา กล้ามเนื้อเกร็ง บางรายอาจจะมีอาการของผื่นคัน อาการซึมเศร้า ใจสั่น นอนไม่หลับ ไปจนถึงกระทั่งอาการปวดข้อไม่ทราบสาเหตุ ถ้าใครที่บริโภค Aspartame อยู่ล่ะก็ คุณอยู่ในข่ายสงสัยแล้วล่ะว่า อาจจะต้องพิษของ Aspartame เข้าให้แล้ว ทางที่ดีควรหยุดการบริโภค Aspartame ดู ซึ่ง 2 ใน 3 ของคนที่โดนพิษ Aspartame จะมีอาการดีขึ้นได้ภายในไม่กี่วัน และจะดีไปตราบเท่าที่ไม่หันกลับไปบริโภค Aspartame อีก
ตอบคำถามที่ว่า "ไม่กินน้ำตาลแล้ว หันมาใช้น้ำตาลเทียมดีไหมหมอ?" ความเห็นส่วนตัวของผมก็คงตอบว่า "ไม่ดีครับ เพราะติดน้ำตาลว่าแย่แล้ว ติด Aspartame ดูเหมือนจะแย่กว่าซะอีก"
ก็มักจะมีคำถามตามมาอีกว่า งั้นจะทำยังไงล่ะ ไม่มีสารทดแทนความหวานเลยชีวิตมันจะอยู่ได้ยังไงเนี่ย ตอบสั้นๆ ครับว่า "ก็หัดลิ้นตัวเองซะใหม่สิครับ ให้มันไม่ติดหวาน" ฟังดูเหมือนกำปั้นทุบดิน แต่เป็นวิธีที่ต้องทำ เพราะถ้าเราฝึกลิ้นของเราให้กินอาหารแบบธรรมชาติสักพัก ลิ้นเราจะมีความรู้สึกไวกับความหวานตามธรรมชาติมากขึ้นเอง บางทีกินผักนึ่งเปล่าๆ เรายังรู้สึกว่ามันหวานได้เลยครับ การฝึกที่ว่านี้ ถ้าเป็นไปได้ให้ฝึกตั้งแต่ยังเด็กจะดีที่สุด ดังนั้น เด็กที่ถูกเลี้ยงมาด้วยน้ำอัดลม หรือขนมหวานพวกนี้ก็คงลำบากหน่อย เพราะลิ้นมันชาด้านกับความหวานที่ถูกประเคนใส่ไปเสียแล้ว ถ้ารักลูกก็อย่าให้เขากินแต่อาหารประเภทนี้เป็นหลัก ส่วนพวกไม้แก่ดัดยากนอกจากจะต้องจับเข้าคอร์สดัดนิสัยกันแล้ว บางทีก็จำเป็นต้องใช้วิธีการสั่งจิตใต้สำนึกเข้าช่วยด้วยอีกแรง เรียกว่าสะกดจิตให้หายอยากหวานกันไปข้างหนึ่งเลยก็ว่าได้
The Gold War Phase II. . . by Jimmy Siri บน Facebook
http://www.facebook.com/ home.php?sk=group_17040824 6326805&ap=1
http://www.facebook.com/
สงสัยผมจะป่วยจาก Aspartame เสียแล้ว Input ของผมน่าจะเป็นน้ำอัดลมเบพเวอเรจทั้งหลาย เผลอๆชาเขียว ชากล่อง ตาร้านมสะดวกซื้อ รวมถึง ขนมปังรสหวานใส่ไอซ์ซิ่งทั้งหลายด้วย ได้เวลาตัดแล้วเพราะรู้ถึงสาเหตุแล้ว
ตอบลบขอบคุณสำหรับบทความที่เป็นประโยชน์นี้นะครับ
วินซ์
กราบงาม ๆ สำหรับความรู้นี้ค่ะ
ตอบลบ