วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

The Gold War ภาคพิสดาร ( 3 of 3 ) ....... อะไรอยู่ในน้ำเอนไซม์??

เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ผมได้มีโอกาสได้ไปนั่งสนทนากับคุณป้าอยู่หนึ่งวันเต็มๆครับ คุยกันสารพัดเรื่องราว ก็คือประเด็นต่างๆที่ได้กล่าวนำไปแล้วนั่นเอง ซึ่งก่อนที่จะไปผมก็ได้ศึกษาถึงเจ้าน้ำเอนไซม์ หรือที่เรียกกันติดปากว่าน้ำหมัก ว่ามีอะไรวิเศษหรือพิศดารอย่างไร ถึงกล้ามีการอวดอ้างสรรพคุณในการบำบัดหรือรักษาอาการต่างๆจนเป็นที่ล่ำลือกันไปทั่วอยู่ขณะนี้ จนทำให้หลายๆท่าน ยิ่งสงสัยว่าเป็นการ "ลวงโลก" หรือเปล่า?? 

เอาอย่างนี้ครับ ผมจะสรุปสั้นๆ ง่ายๆ เป็นภาษาชาวบ้านให้พอเข้าใจคือ น้ำเอนไซม์หรือน้ำหมักก็คือการเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ชนิดดี ซึ่งตัวหลักๆก็คือ "จุลินทรีย์แลคโตบาซิลัส" นั่นเอง!!

ใช่แล้วครับ ก็คือตัวเดียวกับที่ยาคูลย์โฆษณาขายสินค้าของเค้ามาหลายสิบปีแล้วนั่นแหละครับ ดังนั้นน้ำหมักจึงมีรสเปรี้ยว ส่วนสรรพคุณของเจ้าจุลินทรีย์ตัวนี้ก็มีดังนี้ครับ 

การใช้จุลินทรีย์ Lactobacillus casei ในการหมัก ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ดังนี้
  1. Lactobacillus casei ถือว่าเป็นโปรไบโอติก ซึ่งเป็นเชื้อที่ดีที่สามารถมีชีวิตอยู่รอดภายในลำไส้มนุษย์ได้เนื่องจาก
    • มีความสามารถทนต่อกรดและน้ำดีที่มีอยู่ภายในลำไส้ได้ ซึ่งเชื้อทั้งดีและไม่ดีส่วนใหญ่จะถูกทำลายเพราะทนกรดในกระเพาะอาหารไม่ได้
    • สามารถยึดเกาะกับผนังลำไส้ได้เป็นอย่างดี
  2. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยยับยั้งจุลินทรีย์ที่ไม่เป็นมิตรในลำไส้
    กรด แลคติกจะช่วยต่อต้านจุลชีพที่อาจให้โทษต่อร่างกายเช่นเชื้อซัลโมเนลล่า ( Salmonella typhidie ) อี โค ไล ( E.coli ) โคลินแบคทีเรีย ( Corynebacteria diphtheriae ) ทำให้เชื้อเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายได้ เราควรรับประทานอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีกลุ่มแบคทีเรียที่ดีอาศัยอยู่ภายใน ลำไส้ส่งเสริมการทำงานและความสม่ำเสมอในการหลั่งน้ำย่อยของกระเพาะอาหาร
  3. ช่วยป้องกันโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อ และโรคไม่ติดต่อ
  4. ช่วยลดอาการแพ้น้ำตาลแลคโตส
    เพราะน้ำตาลแลคโตสเป็นสาเหตุที่ทำให้ เกิดการแพ้นมหรือท้องเสีย จะถูกเปลี่ยนเป็นกรดแลคติกที่สามารถย่อยได้ง่าย นอกจากนี้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์นี้ยังมีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีนนม เคซีน ซี่งเป็นโปรตีนย่อยยาก ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น
  5. ปรับปรุงระบบการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหารช่วยแก้ปัญหาอาการ ท้องเสียท้องเดิน และแผลในกระเพาะอาหาร
    จาก การวิจัยพบว่าผู้ป่วยเด็กหายจากอาการท้องเสียเร็วขึ้น หลังจากได้รับประทานโยเกิร์ต โดยจุลินทรีย์ที่มีในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวจะทำการปรับสมดุลในลำไส้ ทำให้หายจากอาการท้องเสีย
  6. ลดความรุนแรงของอาการภูมิแพ้
  7. ลดปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
ที่มา : www.danisco.com/cms/connect/corporate/product., An article ;Technical Memorandum Lactobacillus
Probiotic คืออะไร?

       คำว่า โปรไบโอติก (Probiotic) ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในรายงานการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของ Lilly และ Stillwell ในปี พ.ศ. 2508 เพื่อกล่าวถึงสารที่จุลินทรีย์ชนิดหนึ่งขับออกมา และช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์อีกชนิดหนึ่ง  ซึ่งเป็นการทำงานที่ตรงข้ามกับการทำงานของยาปฏิชีวนะ (antibiotic) ที่จะทำลายจุลินทรีย์เกือบทุกชนิด
       ในปี พ.ศ. 2517 Parker ได้ให้คำจำกัดความว่า โปรไบโอติก คือสิ่งมีชีวิตและสารเคมีที่มีผลต่อสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้
       คำจำกัดความล่าสุด ซึ่งเสนอโดย Fuller ในปี พ.ศ. 2532 อธิบายคำว่า โปรไบโอติก คืออาหารเสริมซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิต สามารถก่อประโยชน์ต่อร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ โดยการปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกาย      

        คำว่าจุลินทรีย์ (micro-organism) หมายถึงสิ่งมีชีวิตซึ่งส่วนใหญ่มีขนาดเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ที่อาจมีโทษหรือมีประโยชน์ต่อเราก็ได้ แบ่งออกได้เป็น 4 ชนิดใหญ่ๆ คือ ไวรัส, ราหรือยีสต์, แบคทีเรีย และ พาราไซต์

ไวรัส เป็นจุลินทรีย์ที่มีขนาดเล็กที่สุดได้แก่ เชื้อเอดส์, งูสวัด, และ เริม เป็นต้น
ราหรือยีสต์ ได้แก่ โรคผิวหนังที่ขึ้นตามที่อับชื้น มักทำให้มีอาการคัน
พาราไซต์ ได้แก่ เชื้อไข้มาเลเรีย

       แบคทีเรีย น่าจะเป็นคำที่รู้จักแพร่หลายมากที่สุดในบรรดาจุลินทรีย์ที่กล่าวมาแล้ว และคนก็มักนึกถึงแต่เชื้อโรคอย่างเดียว ตัวอย่างของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคได้แก่ เชื้อวัณโรค เชื้อที่ทำให้เจ็บคอ หรือเชื้อที่ทำให้เราท้องเสียจากอาหารเป็นพิษ เป็นต้น  แต่ยังมีแบคทีเรียที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกายเรา ได้แก่แบคทีเรียที่ผลิตกรดแลคติกได้ ซึ่งอาจเรียกว่า แลคติกแอซิดแบคทีเรีย แบคทีเรียที่ดีเหล่านี้ คือโปรไบโอติกนั่นเอง ได้แก่ แลคโตบาซิลัส อะซิโดฟิลลัส (Lactobacillus acidophilus), เอนเทอโรคอคคัส ฟีคาลิส (Enterocossus faecalis), สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลัส (Streptococcus thermophilus) และ ไบฟิโดแบคทีเรียม ไบฟิดัม (Bifidobacterium bifidum)

       แบคทีเรียที่ดี มีประโยชน์ต่อเรานี้ อาศัยอยู่ในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ของเรา ตั้งแต่เราเกิดเป็นทารก ทำหน้าที่ช่วยย่อยอาหารและผลิตสารอาหารที่ดีมีประโยชน์ให้กับเรา ได้แก่ กรดอะมิโน กรดแลคติก พลังงาน ไวตามินเค ไวตามินบี และสารปฏิชีวนะธรรมชาติหลายชนิด  ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้
       1. กรดแลคติกที่แบคทีเรียผลิตออกมา จะทำให้สภาวะภายในลำไส้ มีความเป็นกรดมากพอที่จะยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียก่อโรค
       2. ทำให้ระบบขับถ่ายดี ไม่เกิดการหมักหมมของของเสียในร่างกาย เป็นการลดอัตราเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งตับ
       3. ไวตามินบีที่ได้ จะทำให้เซลล์ในระบบภูมิต้านทานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และยังทำให้มีการผลิตเม็ดเลือดแดงดีขึ้นด้วย
       4. ช่วยยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง และกำจัดสารก่อมะเร็งบางชนิด
       5. แลคติกแอซิดแบคทีเรีย ยังช่วยลดระดับน้ำตาลและโคเลสเตอรอลในเลือดด้วย
       6. นอกจากนี้ ยังผลิตเอนไซม์แลคเตส ซึ่งช่วยย่อยน้ำตาลในนม ทำให้เราไม่มีอาการท้องอืดจากการดื่มนม และช่วยให้การดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น

เอกสารอ้างอิง
ธารารัตน์ ศุภศิริ, (2542) PROBIOTIC : แบคทีเรียเพื่อสุขภาพ, วารสารวิทยาศาสตร์ 53 (6) 357-360

ยิ่งไปกว่านั้นจากผลไม้ต่างๆ ที่มีน้ำตาลฟรุตโตสตามธรรมชาติอยู่แล้ว ก็เข้าไปปรับสมดุลย์ในร่างกายให้เกิดความสมดุลย์มากขึ้น ปรับระดับความเป็นกรดเป็นด่างของร่างกาย และทำลายสารพิษต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชผักผลไม้ต่างๆเหล่านี้ แต่ละชนิดก็มีสรรพคุณในทางยาในตัวมันเองโดยธรรมชาติ ในลักษณะที่แตกต่างกันไป หรือจะสรุปอย่างง่ายๆก็คือ การนำเอาสรรพคุณของวัตถุดิบเหล่านั้นมาหมักรวมกันในลักษณะที่เข้มข้นกว่าที่เราจะกินได้ครบจากการบริโภคในชีวิตประจำวัน แล้วเสริมด้วยจุลินทรีย์ตัวเก่งของเราเข้าไป ที่มีฤทธิ์ในการจับทำลายเชื้อโรคที่ตกค้างในร่างกายที่ระบบภูมิคุ้มกันของเรากำลังต่อสู้กับมันอยู่ หรือก็คือเข้าไปช่วยระบบภูมิคุ้มกันของเราในการกำจัดสารพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเองครับ

สาเหตุหลักของความเจ็บป่วยของมนุษย์ในยุคปัจจุบันคือ
1.สารปรุงแต่งในอาหารทุกชนิด เช่น ผงชูรส น้ำตาลเทียม เนยเทียม สารกันบูด สารแต่งกลิ่นและเจือสีต่างๆ
2.ปุ๋ยเคมี ที่เป็นส่วนประกอบและตกค้างอยู่ในพืช ผัก และผลไม้ต่างๆ
3.เคมีกำจัดศัตรูพืชหรือยาฆ่าแมลง ที่ตกค้างอยู่ในพืช ผัก และผลไม้ต่างๆ
4.ยาและสารกระตุ้นต่างๆที่ปนเปื้อนมาในเนื้อสัตว์
5.ภาวะขาดสารอาหาร(ไม่ใช่ขาดอาหาร) หรือ Under Nutrition ที่พบมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคบริโภคนิยมนี่แหละครับ เป็นที่น่าสังเกตุว่าพบโรคอ้วนมากขึ้นควบคู่ไปกับโรคขาดสารอาหาร***
6.ยา(เคมีหรือยาฝรั่ง)รักษาโรคและผลข้างเคียง ที่ตกค้างและก่อให้เกิดโรคอื่นตามมา
7.เคมีภัณฑ์ต่างๆที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ทั้งยาสีฟัน(ฟลูออไรด์) สบู่ แชมพูสระผม ครีมนวด แป้ง เครื่องสำอาง น้ำหอม โคโลญจ์ และผลิตภัณฑ์ซักล้างต่างๆ 

และอีกมากมายที่เราอาจจะคิดไม่ถึง และผมจะกล่าวในบทความต่อๆไป...

ซึ่งป้าเช็งเองท่านก็ได้นำน้ำหมักเหล่านั้นส่งไปทดสอบที่ห้องแล๊ป "โดยไม่เกี่ยงค่าใช้จ่าย" คร่าวๆที่คุณป้าตั้งงบไว้คือ "100 ล้านบาท" ครับ เพื่อหาเหตุผลว่าทำไมน้ำหมักเหล่านั้นจึงสามารถรักษาอาการเจ็บป่วย หรือโรคต่างๆ ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ซึ่งผลที่ได้ออกมาก็เป็นไปตามที่ผมอธิบายไปข้างต้นนั่นแหละครับ เพียงแต่ของท่านเป็นเอกสารอย่างเป็นทางการ ซึ่งผมได้ขอสำเนาไปแล้ว และคงมีโอกาสได้นำมาเปิดเผยในโพสต์ต่อๆไป แล้วคงอ่านๆค่าที่สำคัญๆในเชิงการแพทย์ได้อีกมากครับ ว่ามีอะไรลึกล้ำกว่านั้นอีกหรือไม่ 

ซึ่งผลสะท้อนของเจ้าน้ำเอนไซน์นี่แหละครับ ที่กำลังไปขัดแข้งขัดขา ขวางหูขวางตา วงการแพทย์และวงการยาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะผลประโยชน์มหาศาล ถ้าคิดเป็นตัวเงินก็เป็นหลัก "หลายหมื่นล้านบาท" ต่อปี ที่เค้าอาจจะต้องเสียหายนั่นเองครับ และยิ่งองค์ความรู้นี้ขยายตัวมากขึ้น มากขึ้นอย่างที่กำลังเป็นไป ผู้เสียหายจากการนี้โดยตรงก็คือธุรกิจโรงพยาบาล บริษัทยาข้ามชาติ(เครือข่ายอิลลูมินาติสายยาและเวชภัณฑ์)นั่นเอง และจากประเด็นนี้จึงเริ่มก่อให้เกิดแรงต้าน แรงเสียดทาน เกิดสมรภูมิรบย่อยๆขึ้นมาอีกหนึ่งสมรภูมิในทันที คำถามก็คือตอนนี้คุณจะอยู่ข้างใคร??

เอกสารอ่านเพิ่มเติม...

ลิ๊งค์สำหรับเฟสบุ๊ค :
The Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook