วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Happy New Year 2011




อุปสรรค แค่ไหน อย่าไปท้อ
อย่ามัวแต่ เฝ้ารอ ปาฏิหาริย์
ก้าวที่เคย พลาดพลั้ง ในวันวาน
เอามาสาน กำลังใจ ให้ตัวเอง

จัดระเบียบ โลกใหม่ จำต้องเกิด
เพื่อชำระ ผู้ละเมิด เปรียบดั่งศาล
ขอเพียงแต่ เข้าใจ อย่าต้านทาน
การล้างผลาญ เหล่านั้น พลันต้องมา


เค้าจะทำ สิ่งใหม่ ในทุกด้าน
อีกไม่นาน เราท่าน คงได้เห็น
โลกใบนี้ คงเข้าสู่ ยุคลำเค็ญ
คือ "ยุคเข็ญ ภัยพิบัติ และสงคราม"

การเตรียมพร้อม ต้องพร้อม ทั้งความเชื่อ
ใช่เพียงเหลือ เงินทอง มหาศาล
เพราะครั้งนี้ จำจะกิน เวลานาน
ที่จะผ่าน พ้นได้ ใช่แค่เงิน

การชำระ ครั้งนี้ ที่ความผิด
บาปที่ติด ตามตัว ชั่วลูกหลาน
กลับใจก่อน ที่จะสาย อย่ามัวพาล
อย่าปล่อยผ่าน คิดแค่ว่า ข้าไม่กลัว

ซึ่งเป้าหมาย ทำลายล้าง คือคนบาป
เพื่อกำราบ คนก่อกรรม ทำลายทั่ว
ทั้งกิเลส อีกตัณหา ที่เมามัว
ความงมงาย ที่ติดตัว ชั่วชาติพันธุ์

แสวงหา สิ่งใดหนอ คือ "ความรอด "
ใช่แค่กอด เงินทองไว้ จับให้มั่น
อย่างที่บอก ถ้าจะรอด ต้องรู้ทัน
มิเช่นนั้น จะเหนื่อยเปล่า เราหมดตัว

พลันตกนรก ไปอยู่กับ ความผิดนั้น
เพราะคิดว่า คือบุญกรรม ทำกันทั่ว
ที่แท้จริง มันคือบาป ที่น่ากลัว
ถูกความชั่ว ปิดตาไว้ ไม่ให้ดู

คือยุคแห่ง การลวงล่อ พอมองเห็น
สิ่งที่เป็น อาจมิใช่ ที่เห็นอยู่
ด้วยเทคโน สารพัด หลอกทั่งครู
เผยแพร่สู่ ชั้นชน คนทั่วไป

พอดีไปยกเอากลอนบทหนึ่งมาครับ คือบทแรก ดูแล้วมันจะสั้นๆ ห้วนๆ ยังไงชอบกล ก็เลยแต่งเพิ่มอีกซักหน่อยเพื่อให้ลงตัว ซึ่งก็พอจะสื่อถึงบทความที่ผ่านๆ มาได้ดี


ต้องขอกราบขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านสำหรับทุกความคิดเห็น การแลกเปลี่ยนข่าวสารที่เป็นประโยชน์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาครับ ไม่ว่าจะเป็นคำตำหนิ ติ ชม หรือกำลังใจต่างๆ ซึ่งต้องบอกว่า ผมอ่านทุกคำทุกตัวอักษรครับ แต่อาจจะตอบบ้างไม่ตอบบ้างก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ณ เวลานั้นว่ามีเวลาแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นคำแสดงความยินดีของคุณบาบาร่า ฟู คำถามของคุณ Jazz, คุณวีระชัย ว., คุณ Banksia, คุณ 3am, คุณวินซ์, คุณ Merry, คุณคนเก็บฟืน, คุณยิ้ม, คุณต๊ะ, คุณ Cool_Kid, คุณผิง (ที่ตอนนี้กำลังฮ๊อตสุดๆ :) ในอีกเวบหนึ่ง พอดีสะกดรอยตามไปเจอน่ะครับ เพื่อนสมาชิกรอตอนใหม่กันอยู่นะครับ และขอให้ประสบความสำเร็จสูงสุดในสิ่งที่กำลังจะทำครับ Two Thumb UP!!!) และอีกหลายๆ ท่านที่ไม่ได้กล่าวถึงในที่นี้ และหลายๆ คำถามที่ผมจะนำมาเขียนให้เป็นเรื่องเป็นราว มากกว่าการตอบคำถามเพียงสั้น เพราะต้องมีเอกสารหลักฐานประกอบมากกว่าการพูดลอยๆ ขึ้นมา ซึ่งคงจะไม่ได้อะไรมากเท่าไหร่ครับ

 

งานเขียนของผมอาจจะถูกผู้อ่านบางส่วนมองเป็นประเภท Extremist หรือสุดโต่ง ในบางประเด็น แต่ผมก็คงยืนยันและมั่นคงในจุดยืนของบทความ "ทั้งหมดทุกประเด็น" ครับ ถ้าลองกลับไปอ่านบนความเก่าๆ ของผมตั้งแต่เรื่องแรกในเดือนกรกฏาคม ปี 2009 ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและเป็นปัญหาใหญ่อยู่ในวันนี้ หรือก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในวันนี้ก็คือสิ่งต่างๆ ที่ผมเขียนไว้ในอดีตนั่นเอง

เพราะฉะนั้นบทความหรือเรื่องราว ที่ท่านกำลังอ่านในวันนี้ก็อาจจะยังเป็นเรื่องที่ "สุดโต่ง" อยู่ในวันนี้ครับ แต่สิ่งเหล่านี้ก็อาจจะเกิดขึ้นได้อีกเช่นกันในอนาคตอันใกล้ คือภายใน 1-3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะบางสิ่งที่หลายๆคนเชื่อว่าไม่มีอยู่จริงหรือไม่น่าจะเป็นไปได้ หรือเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเอง สิ่งนี้ผมจะขอเน้นย้ำเป็นพิเศษครับว่า......

 

ให้ระวังสิ่งเหล่านี้ให้ดี เพราะถ้าเกิดขึ้นแล้ว จะทำให้เราจะกลับตัวไม่ทันครับ แต่ผมก็ยังหวังว่า "ยังพอมีเวลา" เพื่อรอให้ท่าน "เห็นด้วยตาและฟังด้วยใจ" จะดีกว่า น่าจะยังไม่สายครับ แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นก็ขอให้เป็นสิทธิ์หรือเป็นเส้นทางที่แต่ละท่านเลือกและกำหนดเอง ผมเป็นเพียงผู้นำสารน์หรือข้อความต่างๆ มายัง " ทุกท่านที่ไม่เคยรู้ ให้ได้รับรู้ " และบอกในสิ่งที่คนอื่นอาจจะไม่กล้าบอก ซึ่งผมก็ถือว่าผมว่าได้ "บอกแล้ว" ครับ เกือบจะทั้งหมดแล้ว ซึ่งมันไม่ง่ายเลยครับที่จะบอกเล่าในสิ่งเหล่านี้ ที่ผ่านมาก็พยายามอย่างเต็มที่ครับ


เอาล่ะครับ เกริ่นไปซะยาว โพสต์นี้เขียนขึ้นก็เพื่ออวยพรปีใหม่ให้กับท่านผู้อ่าน โดยเฉพาะคุณ Terran และคุณ Leo ครับ :

ในวันขึ้นปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ผมขออวยพรให้ท่านผู้อ่านทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและทุกท่านจากอีกกว่า 50 ประเทศทั่วโลก จงพบแต่ความสุข ความสำเร็จ ในสิ่งที่หวัง ถึงพร้อมด้วยสติ ปัญญา และทรัพย์สมบัติทั้งปวง....สวัสดีปีใหม่ 2011 ครับ

Dear all Readers around the world.  Wishing you for Happiness, Success and Hopefulness.  Be fulfill with Concious, Wisdoms and Great Wealth.......Happy New Year 
2011 

Jimmy Siri, The Gold War Phase II
December 31, 2010

วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Glenn Beck Show ( Dec 28, 2010 ).......Restoring History

สำหรับท่านใดที่พลาดชม วาไรตี้เชิงข่าวสาร ของเกลน เบค ในตอนผ่านๆ โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายน ที่จะเน้นไปในเรื่องปัญหาภายในของสหรัฐ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องหนี้สิน เศรษฐกิจ และการว่างงาน ในตอนนี้เค้าจับเอาเนื้อหาที่สำคัญต่างๆเหล่านั้นมารวมกันครับ เพราะฉะนั้นเนื้อหาจะเข้มข้นมาก ที่จะบอกเราถึงปัญหาต่างๆที่สหรัฐกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ แล้วที่สำคัญที่สุดคือ "ทิศทาง" ที่สหรัฐกำลังจะเดินไป

อย่างหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ Fox News เป็นสื่อ "หลัก" ตัวหนึ่งในมือของกลุ่ม NWO ในอเมริกา ที่เค้าใช้เป็นเครื่องมือในการ "ล้างสมอง" คนอเมริกันให้เชื่อหรือไม่เชื่ออะไรมาหลายสิบปีติดต่อกัน ทุกอย่างที่เค้านำเสนอในช่วงนี้ก็คือ "คำเตือน" หรือจะเรียกว่าเป็นการใบ้บอกล่วงหน้าครับว่าเค้าจะทำอะไร หรืออะไรจะเกิดขึ้นต่อไป การลงมือทำงานของพวกเค้า มีหลักอยู่อย่างหนึ่งคือ เค้าจะบอกก่อนว่าจะทำอะไร บอกกันทั้งทางตรงทางอ้อมอย่างนี้แหละครับ แต่คำเตือนเหล่านี้กลับถูกมองข้ามจากคนส่วนใหญ่ 

ข้อมูลและตัวเลขที่เกลน เบ๊ค หยิบยกมาทั้งหมดเป็น "ของจริง" ครับ เป็นสถานการณ์จริงๆที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ที่หลายคนดูแล้วก็ยังงงๆ ว่ามันหนักขนาดนั้นเลยหรือ ซึ่งคำตอบคือ "มันหนักขนาดนั้นจริงๆ" ครับ แต่ด้วยชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายจากเทคโนโลยีต่างๆ ความเจริญก้าวหน้าเหล่านี้มันกลายเป็นกรอบความคิด และทำให้เรามองไม่ออกครับ และน้อยคนที่จะศึกษาและเข้าใจประวัติศาสตร์ว่าเคยเกิดอะไรขึ้นบ้างในอดีตที่ผ่านมา ทำให้คิดว่าไปว่า .......มันยากที่จะเกิดขึ้น

ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านที่ติดตามอ่านข่าวสารจากบล๊อกนี้เป็นประจำ คงจะอ่านออกครับ ว่าเค้ากำลังบอกอะไร ซึ่งมันอยู่ที่คนดูครับว่าจะคิดจะนำไปต่อยอดหรือไม่ หรือจะไม่รู้สึกอะไรเลยหรือแค่ผ่านๆไป อันนี้ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลครับ


มีเรื่องหนึ่งที่ต้องตอกย้ำกันครับคือเรื่องกรอบเวลา ที่ผมเคยเขียนไว้ว่าทุกอย่างน่าจะระเบิดออกมาในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2011 หรือไม่เกินกลางปี 2012 "เพื่อความไม่ประมาท" ผมขอแก้ไขเป็นตั้งแต่กลางเดือนมกราคมของปี 2011 เป็นต้นไปครับ ข่าวสารข้อมูลที่ออกมาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มันมีประเด็นอะไรหลายๆ อย่างที่่ยังไม่น่าเกิดกลับเกิดขึ้นมาก่อน เช่นเรื่องมูนิบอนด์ หรือพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่นในระดับมลรัฐ พันธบัตรรัฐบาลกลางสหรัฐที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ ที่สำคัญทั้งสองเหตุการณ์มาเกิดขึ้นพร้อมๆกัน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งคาดกันว่าอย่างน้อยต้องมีถึง 11 เมือง หรือรัฐบาลท้องถิ่นของสหรัฐที่จะต้องฟ้องล้มละลายตัวเองในปี 2011

วิกีลีค รวมทั้งข่าวลือและการเริ่มพูดคุยกันถึงการ "ล้ม" ของรัฐต่างๆ รวมทั้งข้อกฏหมาย ปัญหาในตลาดตราสารอนุพันธ์หรือ Derivatives โดยเฉพาะ Comex จนทำให้กลุ่มขาใหญ่เสียการควบคุมไปมากพอสมควร ซึ่งมันสะท้อนถึง Fear หรือความกลัวที่ "เกิดขึ้นแล้ว" ในตลาดจนสะท้อนออกเป็นการพุ่งขึ้นของราคาทองคำ เงิน และโภคภัณฑ์ต่างๆ ในช่วงเวลานี้ของปี ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอีกเช่นกันครับ

ปัญหาการว่างงานในสหรัฐโดยมีตัวเลขล่าสุดออกมาที่ 30 ล้านคนเข้าไปแล้ว ซึ่งดูแล้วคงไม่มีอะไรดีขึ้นนอกจากการบิดเบือนตัวเลข และการปั๊มเงินออกมาอุด หรือซื้อเวลาและลากปัญหาออกไป 

The Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook
http://www.facebook.com/home.php?sk=group_170408246326805&ap=1

ในมุมมองของนักวิชาการไทย " ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ "

มองปัจจัยพื้นฐานและความหมายท้าทายทางเศรษฐกิจในอนาคต
โดย : ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 27 ธันวาคม 2553 03:00


ในช่วงปลายปีเก่า ถึงต้นปีใหม่ก็จะมีการเขียนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในปีใหม่ แต่ผมขอนำเสนอทางเลือกใหม่ในการมองอนาคตโดยพูดถึงปัจจัยพื้นฐาน และแก่นสารของความท้าทายทางเศรษฐกิจของประเทศสำคัญๆ รวมทั้งไทยที่สรุปได้ดังนี้
 

1. สหรัฐอเมริกา
ประธานาธิบดีโอบามาได้ลงนามผ่านกฎหมายลดภาษี 858,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้นักวิเคราะห์ต่างปรับการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2011 ขึ้นไปที่ 3% แต่ความสำคัญอยู่ที่การเดิมพันว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐขยาย ตัวได้ดีและฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ในปี 2013 หรือไม่ หากในช่วงนั้นพบว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 4-5% ต่อปีก็น่าจะทำให้ประธานาธิบดีโอบามาชนะการเลือกตั้งทั่วไปได้เป็น ประธานาธิบดีอีกหนึ่งสมัย (4 ปี) และกล้าที่จะปรับขึ้นภาษีคนรวย พร้อมกับปรับลดรายจ่ายและเพิ่มรายรับด้านอื่นๆ ช่วยให้การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐปรับลดลงต่อเนื่อง และเกิดความมั่นใจว่าสหรัฐมีวินัยทางการคลัง ดังนั้นแม้ว่านายเบอร์นันเก้จะต้องปรับดอกเบี้ยระยะสั้นขึ้นตามความ รุ่งเรืองของเศรษฐกิจและเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ แต่ดอกเบี้ยระยะยาว (ซึ่งขึ้นอยู่กับวินัยทางการคลังด้วย) ก็จะไม่สูงมาก ตอกย้ำว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีเสถียรภาพและความมั่นคงตามไปด้วย


แต่หากการลดภาษีครั้งนี้เป็นการเดิมพันที่ผิดพลาด สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือในปีหน้าการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐจะสูงถึง 10% ของจีดีพีติดต่อกันเป็นปีที่ 3 (ปี 2009 และ 2010 ก็ขาดดุลงบประมาณปีละ 10% ของจีดีพี) ดังนั้นหากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวในปี 2012 กล่าวคือนักเศรษฐศาสตร์มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวเพียง 2-3% ในปี 2012 และปีต่อๆ ไป เนื่องจากมาตรการลดภาษี 858,000 ล้านดอลลาร์นั้นส่วนใหญ่เป็นการกระตุ้นการบริโภคในปัจจุบัน แต่มิได้กระตุ้นการลงทุนการจ้างงานและการสร้างความสามารถในการแข่งขันใน อนาคต สิ่งที่จะตามมาคือการขาดดุลงบประมาณสูงมากต่อไปอีกเรื่อยๆ ในปี 2013 และปีต่อๆ ไปเพราะเป็นช่วงที่ค่าใช้จ่ายจากนโยบายประชานิยมต่างๆ (โดยเฉพาะการประกันสังคมและด้านสาธารณสุข) จะพอกพูนขึ้นอย่างมากจากข้อผูกพันเดิมตลอดจนการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุ ในขณะที่ผู้สูงอายุโดยรวมก็มีอายุยืนยาวขึ้น ในสภาวการณ์ดังกล่าว หากนักลงทุนมองว่ารัฐบาลสหรัฐจะต้องขาดดุลงบประมาณที่ 7-8% ต่อจีดีพีในอนาคตก็จะเกิดความระส่ำระสายอย่างมาก เพราะการขาดดุลในระดับสูง (หลังจากที่หนี้สาธารณะสูงเกิน 100% ของจีดีพีแล้ว) จะทำให้เกิดภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับกรีกในปี 2010 จึงอาจเกิดขึ้นกับสหรัฐในปี 2013 ก็ได้


2. สหภาพยุโรป

แก่นสารของปัญหาของยุโรปคือ การเมืองในประเทศ (โดยเฉพาะประเทศเยอรมนี) จะยอมให้นำภาษีประชาชนในประเทศของตนไปกอบกู้เศรษฐกิจของประเทศยุโรปอื่นที่ มีปัญหา เพียงพอที่จะรักษาความเป็นปึกแผ่นของยุโรปและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิทักษ์ รักษาเงินยูโรหรือไม่ เท่าที่เห็นในปัจจุบันก็ต้องบอกว่าตลาดยังขาดความมั่นใจอย่างมาก เพราะการตั้งกลไกเพื่อกอบกู้ประเทศที่มีปัญหาเพื่อพิทักษ์รักษาเงินยูโรนั้น ทำอย่างครึ่งๆ กลางๆ และผู้นำหลักของยุโรปยังขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัด เช่น เห็นชอบการจัดตั้งกลไกถาวรเพื่อจัดการกับวิกฤติในอนาคตที่จะต้องมาถึงแน่ๆ เพราะการยืดหนี้กรีกและไอร์แลนด์ถึงปี 2013 นั้นเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่กลไกถาวร (เรียกว่า European Stability Mechanism) นั้นมีแต่หลักการยังไม่มีรายละเอียด นอกจากนั้นข้อเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเช่นการเพิ่มเงินในกองทุนฉุกเฉิน การให้ใช้เงินฉุกเฉินอย่างยืดหยุ่นและทันท่วงที และการให้ออกพันธบัตรสหภาพยุโรปมาทดแทนพันธบัตรรายประเทศ ก็ถูกคัดค้านจนต้องพับแผนไปก่อนหน้า ทำให้นักวิเคราะห์มองว่าในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าประเทศที่ได้รับการยืดหนี้ก็อาจมีปัญหาต้องพักชำระหนี้ไปก่อนที่ ESM จะออกมา ในขณะที่ปัญหาอาจจะลามไปสู่ประเทศโปรตุเกสและสเปน ทำให้เงินยูโรอาจอ่อนค่าลงอีกเมื่อเปรียบเทียบกับเงินดอลลาร์


3. ญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยและความนิยมของรัฐบาลปัจจุบันก็เสื่อมถอยลง เรื่อยๆ ทำให้การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาเงินฝืดทำได้ด้วยความยาก ลำบาก การเสนอให้ลดภาษีนิติบุคคลเป็นเรื่องที่น่าจะเป็นประโยชน์ แต่การเพิ่มหนี้สาธารณะจากการขาดดุลที่เพิ่มขึ้นทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นไม่แจ่มใสเลย เพราะหนี้สาธารณะสูงถึง 200% ของจีดีพีแล้ว ในขณะที่ประชาชนก็แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว (เพราะญี่ปุ่นไม่ยอมให้ชาวต่างชาติที่มีอายุน้อยพร้อมทำงานและเสียภาษีเข้า มาตั้งรกรากในประเทศ เช่น สหรัฐที่เปิดรับแรงงานต่างชาติมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ) ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นนับวันจะมีบทบาทลดลง เว้นแต่บริษัทข้ามชาติของญี่ปุ่นที่จะต้องลงทุนนอกประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อ เนื่อง เพราะปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศไม่เอื้ออำนวย ดังนั้นสภาวะที่ เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวเพียง 1-2% และภาวะเงินฝืดจึงอาจเป็นปัญหาเรื้อรังต่อไป


4. จีน

ประเทศจีนเผชิญปัญหาว่า จีดีพีขยายตัวดีน่าพอใจ (8-9% ต่อปี) แต่ยังคุมปัญหาเงินเฟ้อไม่ได้ ซึ่งคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อน่าจะคุมอยู่ภายในกลางปีหน้า ทำให้เงินเฟ้อในเดือน พ.ย. ที่ 5% นั้นใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้วและจะค่อยๆ ลดลงในครึ่งหลังของปีหน้า ทำให้เงินเฟ้อทั้งปี 2011 อยู่ที่ประมาณ 4.5% แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น (และเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจนคุมไม่อยู่) ก็คงเกิดจากการขยายตัวมากเกินไปของสินเชื่อ ทำให้ทางการต้องออกมาตรการที่เข้มข้นขึ้นไปอีกเพื่อจำกัดการขยายตัวของสิน เชื่อ รวมทั้งการควบคุมราคาสินค้าจำเป็น ซึ่งจะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนอย่างมาก จึงเห็นภาพที่เศรษฐกิจจีนขยายตัวสูงที่สุดในโลกแต่ราคาหุ้นไม่สามารถปรับตัว ขึ้นได้เลย


ในระยะสั้นนั้นรัฐบาลจีนให้ความสำคัญสูงสุดกับการควบคุมค่าครองชีพและ ราคาอสังหาริมทรัพย์เพื่อมิให้ประชาชนเดือดร้อน แต่ในระยะกลางและระยะยาว จีนเร่งการลงทุน สร้างโรงงาน พัฒนาเทคโนโลยี และแสวงหาทรัพยากร เพื่อเตรียมพร้อมกับสภาวะที่ประเทศจีนจะขาดแคลนแรงงานใน 10-20 ปีข้างหน้า กล่าวคือประชาชนจีนจะต้องมีผลิตภาพ (productivity) ต่อหัวสูงจากการลงทุนสร้างโรงงาน (ให้มีงานทำ) การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนในเทคโนโลยี การลงทุนในการศึกษา ฯลฯ เพื่อส่งต่อความมั่งคั่งจากปัจจุบันไปสู่ลูกหลานที่มีจำนวนลดลงในอนาคต


5. ประเทศไทย

การเข้าสู่การเลือกตั้งทำให้ต้องมุ่งเน้นการรักษาอำนาจทางการเมืองโดยการ นำเสนอนโยบายเศรษฐกิจประชานิยม (จะเรียกอย่างอื่นก็ยังเป็นประชานิยมอยู่ดี) คือการกระจายผลประโยชน์เฉพาะหน้าให้กับคนส่วนใหญ่ที่เป็นผู้ลงคะแนนเสียง เลือกตั้ง การตรึงราคาน้ำมันดีเซลนั้นเคยมีประสบการณ์ในอดีตมาแล้วว่าทำให้ภาครัฐใช้ เงินหลายหมื่นล้านบาทหากราคาตลาดโลกสูงขึ้นอย่าต่อเนื่องก็จะทานเอาไว้ไม่ อยู่เพียงแต่ช่วยให้ประชาชนใช้น้ำมันราคาถูกเกินจริงไปพักหนึ่ง แทนที่จะนำเงินดังกล่าวไปลงทุนให้เกิดผลประโยชน์ระยะยาว กล่าวคือมาตรการต่างๆ ที่ถูกนำเสนอ (ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน) จะทำให้เกิดความพอใจในชั่วขณะแต่จะไม่ทำให้เศรษฐกิจไทยในอนาคตขยายตัวเร็ว ขึ้นหรือมีความมั่นคงขึ้น ทำให้เงินที่ใช้จ่ายออกไปจะเป็นภาระในอนาคต เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลขาดดุลงบประมาณเท่ากับ 3-4% ของจีดีพีและพบว่าจะไม่สามารถลดการขาดดุลดังกล่าวได้หากไม่ปรับขึ้นภาษี (จึงมีการนำเสนอขอขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นระยะๆ)


นโยบายประชานิยมนั้นหากรัฐบาลใดจะนำเสนอเพิ่มควรทำเมื่องบประมาณเกินดุล ได้เสียก่อนจึงจะถือได้ว่ามีเงินส่วนเกินมาใช้จ่าย สำหรับสิ่งที่ควรทำ (แม้จะเป็นเรื่องยาก) เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมจริงๆ มีอยู่มาก เช่น 1. ก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมใหม่มาทดแทนมาบตาพุด ซึ่งขยายตัวเต็มที่แล้วแต่ความต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศยังมีอยู่ 2. ผลิตแรงงานที่ตรงต่อความต้องการของตลาดไม่ใช่ตั้งเป้าว่าต้องมีหนึ่ง มหาวิทยาลัยต่อหนึ่งจังหวัด 3. สร้างระบบรางเพื่อขนส่งสินค้าอันจะลดต้นทุนการขนส่งและการพึ่งพาพลังงานนำ เข้า 4. ปฏิรูปภาคเกษตรกรรมโดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ไม่ใช่พยุงราคาสินค้าเกษตร 5. (ซึ่งรัฐบาลมีดำริอยู่แล้ว) คือการแก้กฎหมายร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน เพราะกฎหมายปัจจุบันสร้างปัญหาอย่างมาก เนื่องจากถูกนำไปตีความในทิศทางที่สร้างความเสียหายอย่างยิ่งต่อการลงทุน มิได้ชักจูงการร่วมลงทุนแต่อย่างใดครับ


The Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook
http://www.facebook.com/home.php?sk=group_170408246326805&ap=1

ในมุมมองของนักวิชาการไทย " ศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ "

"ดร.สมภพ" วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงปีเถาะ "ไม่ควรนำประเทศไปติดกับดักประชา(ภิวัฒน์)นิยม"

วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 09:29:43 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ หรือ PIT วิเคราะห์ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในปี 2554 ทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในประเทศ อย่างรอบด้าน อยากรู้ว่า ปัจจัยเสี่ยง มีอะไรบ้าง ต้องอ่านบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้
 
@ ปัจจัยเสี่ยงจากภายนอก มีเรื่องใดต้องระวังเป็นพิเศษ ในปี พ.ศ.2553 นั้น เศรษฐกิจโตขึ้นมาจากฐานที่ต่ำมากกว่าปีพ.ศ.2552 ซึ่งปีพ.ศ.2552 ลดลง 2 % กว่า เพราะฉะนั้นปีพ.ศ.2553 โตขึ้นมา 7 %กว่า เลขสุทธิที่ได้มาทั้งหมดก็ 5 % ซึ่งเป็นอัตราปกติที่ไทยต้องโตขึ้นมา แต่พอมาถึงปีพงศ.2554 เลขอัตรามันก็จะโตขึ้นมาอีก สุทธิ 5 % แล้วก็จะโตต่อไป มันก็จะยากลำบากขึ้นคือต้องอาศัยฝีมือไม่ใช่อาศัยการปรับฐานทางเศรษฐกิจ แล้วปีหน้านี้หากเราวิเคราะห์กันไปอีกคงต้องแยกแยะเป็น 2 ระดับคือ เศรษฐกิจภายนอกประเทศกับเศรษฐกิจภายในประเทศถึงจะเห็นภาพชัดขึ้น ผมคิดว่าเศรษฐกิจภายนอกประเทศคงจะปั่นป่วนมากกว่าปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอเมริกายังไม่มีการปั้มให้การจ้างงานเพิ่มขึ้นได้ การว่างงานมีอยู่ 98 % แบบที่เป็นอยู่ขณะนี้ ถ้าการว่างงานยังคงมีมากขึ้นนี้ QE ก๊อก 3 ก็คงออกมา ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะออกมา เพราะผมดูแล้วก๊อก 2 นี้อาจจะปั้มไม่ดี ตอนนี้หุ้นมันขึ้นจริงแต่ราคาบ้านเริ่มหยุดไหลลง แต่ว่าขณะเดียวกันมันไม่มีตัวแปรที่จะเพิ่มไปสู่การจ้างงาน ถ้าการจ้างงานไม่ขยายตัวก็จะทำให้การบริโภคในอเมริกาไม่มีการกระเตื้องตัว ซึ่งขณะนี้การบริโภคการกระเตื้องตัวมันสร้างปัญหาให้แก่อเมริกามาก เพราะว่าการบริโภคภายในประเทศมีสัดส่วน 76 % ของจีดีพี ฉะนั้นก็ต้องหาทางให้การจ้างงานลดลงให้ได้ ทางหนึ่งก็คืออัดเงินออกมาเพื่อ 1.พยุงสถานะของเศรษฐกิจอเมริกาที่เป็นอยู่ขณะนี้ให้มันขยายตัวมากกว่านี้ ให้มันมีผลในเชิงลูกโซ่ ให้มันมีหุ้นขึ้น ราคาบ้านก็เริ่มขยายตัวเพราะเงินมันเยอะ จากนั้นจะได้สร้างการจ้างงานเพิ่มขึ้น นั่นคือประการแรก 2.ปั้มเงินออกมามากๆ จะทำให้ดอลล่าร์อ่อนซึ่งเป็นการไม่ควรอยู่แล้ว อเมริกากลัวเงินฝืดมากกว่า ขณะนี้มันทำท่าจะมีเงินฝืดในอเมริกา เพราะว่า CPI (Consumer Price Index) หรือว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมันแค่ไม่เกิน 1 % หลังจากนั้นก็จะต้องอัดออกมาอีก พูดง่ายว่าคุณจะเก็บก็เก็บไปฉันจะอัดออกมา พออัดออกมา ก็แน่นอน เงินเหล่านี้มันก็ต้องไหลออกนอกประเทศ หลังจากนั้นปีหน้าผมว่าเอเชียจะปั่นป่วนมาก เพราะเงินไหลเข้ามา 

@ผลกระทบที่เป็นรูปธรรมกับเศรษฐกิจไทยคืออะไร เงินบาทมีการแข็งค่ามาก เมื่อแข็งค่ามากมันก็จะมีทีท่าของการเกิดกรณีฟองสบู่มากขึ้น หุ้นจะขึ้น ราคาสินทรัพย์ประกันเงินก็จะขยายตัวจะเพิ่มขึ้น เงินเฟ้อขยายตัว ฉะนั้นแบงค์ชาติก็อาจจะเพิ่มดอกเบี้ยขึ้น อย่างน้อย 3 - 4 ครั้งในปีหน้า แต่ดอกเบี้ยนโยบาย 2 % RP 2 % ในขณะนี้ก็อาจจะขึ้นไปเป็นอย่างน้อย 3 % ซึ่งก็หมายถึงดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝากก็จะถูกปรับขึ้น ซึ่งพอมันปรับเพิ่มขึ้นราคาค่าแรงก็จะถูกปรับขึ้น มีแต่ราคาน้ำมันถึงแม้มันจะไม่เพิ่มมากมายแต่ก็คงอุดไม่อยู่ถ้ามันขึ้นจริง ๆ เพราะผมเชื่อว่าในปีหน้าเงินที่มันลดลงและจะเข้าไปในสินค้าจำพวกพื้นฐาน เช่น น้ำมัน ถ้ามันดันราคาน้ำมันขึ้นไปเกิน 100 เหรียญ อุดอย่างไรก็คงไม่อยู่ เพราะว่าตอนนี้ก็ตั้งเป้าเอาไว้อุด 3 เดือน ถ้ามันเกิน 100 เหรียญมันจะกลายเป็นด้านลบจะตามมาทันที ซึ่งจะทำให้เห็นว่าเงินเฟ้อขยายตัวค่อนข้างมาก ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น เพราะในเมืองไทยอาจจะน้อยกว่า ซึ่งในจีนจะขยายตัวมากกว่านี้ ในอินเดียมีมากกว่าทั่วทั้งเอเชีย หลายๆประเทศมีมากกว่านี้ด้วย ซึ่งหมายถึงทุกประเทศจะต้องปรับปรับดอกเบี้ยขึ้นหมด เมื่อปรับดอกเบี้ยขึ้นแน่นอนว่าประเทศอื่นก็ต้องตกกระไดพลอยโจนและต้องปรับ ดอกเบี้ยขึ้นตาม ก็เพื่อลดความสมดุลย์ระหว่างประเทศ ฉะนั้นต้นทุนดอกเบี้ยก็จะเพิ่มขึ้น ต้นทุนค่าแรงเพิ่มขึ้น ต้นทุนน้ำมันเพิ่มขึ้น อะไรต่างๆ เพิ่มขึ้น มันก็จะต้องดันให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นสุดท้ายมันก็จะเกิดเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยก็ถูกปรับขึ้นอีก แล้วมันจะเกิดสภาวะใยแมงมุม ของการขยายตัวอัตราเงินเฟ้อ 

@ ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ จะแตกไหม ฟองสบู่ยังคงไม่น่าจะแตกง่าย ๆ ประการแรก ฟองสบู่ในไทยยังไม่ได้ขึ้นมา แล้วประการที่สองก็คือว่า สถานะของแบงค์ชาติและพวกที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนายังไม่มีปัญหามาก ขณะที่ราคาบ้านในไทยเมื่อเทียบกับในจีน เกาหลี สิงค์โปร์ ฮ่องกง ของเรายังขึ้นน้อยกว่าหลายเท่า 

@ แนวโน้มปี 54 การบริหารคงไม่ง่ายนัก น่าจะมีความเสี่ยงไม่ใช่น้อย ในปีพ.ศ.2554 มีปัจจัยที่เสี่ยงและไม่เสี่ยงเพิ่มขึ้น มีปัจจัยในด้านดีคือเงินที่อัดออกมาจากที่ประชาภิวัฒน์ ทำให้อำนาจซื้อเพิ่มสูงขึ้น เมื่ออำนาจซื้อเพิ่มสูงขึ้นสินค้าทางการเกษตรจะขายดีขึ้น และราคาสินค้าเกษตรปีหน้าจะดีมาก สภาพพอากาศแปรปรวน ต่างประเทศมีหิมะตก ซึ่งตกหนักในเดือนพฤศจิกายน ทำให้การเกษตรเสียหายมาก ในจีนก็เหมือนกัน ตอนนี้ที่หางโจวหิมะเป็นฟุตๆ ซึ่งปกติมันไม่เคยตกแบบนั้น
 
ฉะนั้นความแปรปรวนของปัญหาเรื่องน้ำท่วมในไทยจะทำให้ซัพพลายสินค้าทาง การเกษตรลดลง พอมันลดลงทำให้สินค้าทางการเกษตรเพิ่มขึ้นเยอะ ซึ่งด้านหนึ่งก็เป็นประโยชน์ของเกษตรกร อำนาจซื้อของคนเมืองไทยอย่างน้อยก็ 50 % ก็จะเพิ่มขึ้น ฉะนั้นอำนาจซื้อเกษตรเพิ่มขึ้น ค่าแรงถูกปรับขึ้น เงินเดือนให้มีการถูกปรับขึ้น เงินเดือนนักการเมืองถูกปรับขึ้น ซึ่งเงินเดือนของลูกจ้างทั่วไปก็ถูกปรับขึ้นอย่างมากมาย ได้โบนัสกันมาก อสังหาริมทรัพย์ได้ 7 - 8 เดือน มันก็มีอำนาจซื้อเพิ่มมากขึ้น ตัวแปล C (การบริโภคภายในประเทศ) มีการวิ่งจาก 54 % คงจะวิ่งไปถึง 60 % เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต หลังจากนั้นตัวแปรตัวนี้คงจะช่วยให้รัฐบาลผ่อนคลายในแง่ของแนวโน้มทางจีดีพี ได้ในระดับหนึ่งเพราะตัว C น้ำหนักมันมาก ปัญหาที่กล่าวคือ เศรษฐกิจจะปั่นป่วนสูงในปีหน้านี้ โดยต้องอาศัยรัฐบาลที่มือถึง รัฐบาลที่มือถึงในที่นี้หมายถึงรัฐบาลที่มีความคล่องตัวในการบริหารเศรษฐกิจ มหาภาค ไม่ว่านโยบายการเงินและการคลัง แต่ถ้าหากนโยบายเศรษฐกิจมหาภาคถูกเอาไปรับใช้นโยบายประชานิยมมาก จะมีความยืดหยุ่นและความคล่องตัวต่ำลงมาก และถ้าเกิดต่ำลงมากก็จะไม่สามารถใช้นโยบายเศรษฐกิจมหาภาคได้ โดยหลัก คือ นโยบายการเงินและการคลัง บริหารการจัดการความปั่นป่วนมาพร้อมกับความปั่นป่วนของเศรษฐกิจโลก

@ สิ่งเลวร้ายที่สุด คืออะไร ถ้าเกิดว่าปัจจัยภายนอกมันเลวร้ายและรุนแรงมาก อาจจะเกิดวิกฤตที่ใดที่หนึ่งของโลกแล้วก็จะลากไปทั้งหมด ประเทศไหนก็ตามที่มีภูมิคุ้มกันในประเทศต่ำ ก็จะโดดลงมาเป็นพิเศษ ตรงนี้จะเป็นตัวที่แสดงให้เห็นหากคุณมองโลกในแง่ดีอย่างเดียว เช่น เราเก็บภาษีได้เกินเป้าในช่วงสั้นแล้วก็มองโลกในแง่ดีว่าอีก 5 ปี เราต้องสมดุลงบประมาณหรือเกินดุลงบประมาณเรามองอย่างนั้นไม่ได้


@ อาจารย์เตือนว่า อย่าประมาทในปีหน้า เพราะมีปัจจัยเสี่ยงที่เราคาดไม่ถึง ในปีหน้าประเทศไทยจะมีปัจจัยเสี่ยงสูงมากและไม่ควรนำประเทศไปสู่การติดกับ ประชานิยม เพราะยิ่งไปติดกับประชานิยมมากเท่าไหร่ ประชานิยมนโยบายบางเรื่องดูว่าเป็นเรื่องทางเศรษฐกิจ แต่โดยแท้จริงแล้วไม่ใช่ มันเป็นตัวแปรทางการเมือง ทำประชานิยมเมื่อไหร่ ไม่มีทางเลิกได้ทุกเรื่อง มีแต่จะขยายมากขึ้น หากปรับตัวเข้าสู่นโยบายนี้มากขึ้น ก็หมายถึงคุณจะต้องมีภาระทำในนโยบายนี้ รัฐบาลชุดไหนที่ต้องการประชานิยมก็จะกลายเป็นตัวแปรตามไม่ใช่ตัวแปรอิสระ ก็คือตกกะไดพลอยโจนด้านนโยบายประชาภิวัฒน์ ฉะนั้นเมื่อมีอย่างนี้เกิดขึ้นระยะยาวก็น่าเป็นห่วง ประชาชนจะเสพติดประชานิยม ประชานิยมนำไปสู่การบิดเบือนที่ทำให้ขีดความสามารถต่างๆ ในประเทศลดลง ใคร ๆ ก็ชอบรับกันแจกรับกันแถม อย่าลืมของที่แจกแถมมันมีที่มา มีต้นทุน มีผู้แบกรับภาระ 

@คุณกรณ์และคุณอภิสิทธิ์ยืนยันว่ามีความสามารถในการที่จะหาเงินมาสนับสนุนประชาภิวัฒน์ ใครจะประกันได้หากเหตุการณ์เกิดขึ้นปีต่อปี เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นวิกฤตการณ์ที่เกิดมาจากนอกประเทศเข้ามาหนักๆ เราต้องใช้เงินจำนวนมาก ทุนจากต่างประเทศหดลงอย่างรวดเร็ว ฝรั่งเอาเงินมาลงทุน มาซื้อหุ้นในเมืองไทย เอาดอลล่าร์มาไล่ซื้อเงินบาท ส่วนหนึ่งที่ต้องใช้ประชาภิวัฒน์คือส่วนหนึ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งหรือ เปล่า คนคิดว่านโยบายเกิดการรับใช้เป้าหมายทางการเมือง อย่างไรก็ตามประชาภิวัฒน์คงต้องดูอย่างเลือกสรร บางเรื่องก็ควรเลือกที่มีประโยชน์ต่อคนด้อยโอกาส เราคงต้องดูเป็นเรื่อง ๆ ไป อย่างเช่น เรื่องของราคาน้ำมันจะไม่เอามาพูดในช่วงนี้ หลายๆ เรื่องเราไม่จำเป็น ไปปูพรมมากขนาดนั้น หรืออย่างเช่น การเอาเงินมาขึ้นเงินเดือนหลายภาคส่วน ซึ่งเป้าหมายจริง ๆ แล้วคือ เขาจำเป็นไหมที่จะต้องมีการปกครองที่ผ่านการเลือกตั้ง ต้องต่อสู้ขนาดไหน ลงทุนขนาดไหนให้ตนเองชนะการเลือกตั้ง ฉะนั้นแล้วตนคิดว่าการถลำตัวเข้าสู่ประชาภิวัฒน์สร้างขึ้นมาก็ก่อให้เกิด ปัญหาแน่นอน 

The Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook
http://www.facebook.com/home.php?sk=group_170408246326805&ap=1

วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

MIKE RUPPERT - 13 WEEKS BEFORE ECONOMIC COLLAPSE

ประเด็นช่วงนี้ที่ต้องจับตามองคือ US Government Bond และ Muni Bond ที่มาออกอาการไม่ดีพร้อมกันครับ  ซึ่ง Muni Bond หรือ Municipal Bond หรือพันธบัตรที่ออกมาเพื่อกู้เงินโดยรัฐบาลท้องถิ่นคือรัฐต่างๆ และ US Government Bond หรือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ที่กำลังประสบปัญหา "ขายไม่ออก" พร้อมๆกัน โดยเฉพาะมูนิบอนด์ของ  3 รัฐคือ แคลิฟอเนีย, มิชิแกน และอิลลินอยส์ ที่กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก ถึงขั้นที่จะล้มละลายเอาง่ายๆ โดยกำลังมีการถกเถียงกันว่ารัฐต่างๆเหล่านี้จะร้องขอล้มละลายตัวเองได้หรือไม่ แล้วจะเป็นการผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่ประการใด หรือจะต้องทำการแก้กฏหมายก่อน ว่ากันไปโน่นแล้วครับ

ส่วนพันธบัตรของรัฐบาลกลาง ก็ตกต่ำอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน (ดอกเบี้ยพุ่ง) จากชนิด 30 ปี มาที่ 10 ปี แล้วก็ลามที่ ชนิด 5 ปีที่ประมูลกันไปเมื่อคืนที่ผ่านมา 

ถ้าท่านเข้าในในเรื่องตลาดพันธบัตรสหรัฐ ก็คงจะเข้าใจได้ว่าตลาดพันธบัตรนี่แหละครับ ที่จะเป็นเครื่องมือหรือสัญญานอีกตัวที่จะบ่งชี้ถึงความเป็นความตายของเงินดอลล่า ซึ่งจะทำให้เกิด Dollar Collapse หรือเงินดอลล่าล้มได้อย่างฉับพลันเช่นกัน ถ้าเหตุการณ์ยังคงเป็นไปอย่างนี้ แล้วทำให้เกิดการ Sell Off หรือเทขายเงินดอลล่าออกมาพร้อมๆ กันทั่วโลก หรือไม่ FED ก็ยังจะสามารถซื้อเวลาด้วยการทำ QE3 QE4 

แต่นั่นเป็นแค่มุมมองในฝั่งสหรัฐครับ ส่วนเจ้าหนี้หรือผู้ถือครองพันธบัตรเหล่านั้นอาจจะกำลังคิดอะไรอยู่ก็เป็นได้ ประมาณว่า "ถึงก่อนมีสิทธิ์ก่อน" หรือใครจะอดทนที่จะไม่เทกระดาษเหล่านี้ออกมาได้นานกว่ากัน อย่างที่บอกครับว่า Life Line หรือชะตะกรรมของเงินดอลล่า ไม่ได้อยู่ในมือของ FED หรือรัฐบาลสหรัฐเท่านั้นครับ จึงเป็นการยากที่จะคาดการณ์กรอบเวลาที่แน่นอนว่า เมื่อไหร่???

เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ต่างๆ ณ เวลานี้ มาถึงจุดนี้แล้วครับ อาจจะมีตัวช่วยต่างออกมาบ้าง แต่ก็เป็นเพียงการซื้อเวลาและไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาอย่างแน่นอน แต่มีอย่างนึงที่น่าสังเกตุครับว่า ออกอาการขนาดนี้แล้ว เรตติ้งของพันบัตรสหรัฐ ยังคงเป็น Tripple A หรือ  " AAA " อยู่เลย เผลอๆ ล้มกันไปหมดแล้ว ก็ยังเป็น AAA อยู่ ...สงสัยจะลืม... แต่จริงๆแล้วก็เป็นพวกเดียวกันนั่นแหละ แล้วที่พยายามทำกับยุโรปอยู่นั่นคืออะไร....เจตนามันฟ้องครับ 


The Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook
http://www.facebook.com/home.php?sk=group_170408246326805&ap=1

Gold Update.......This Way

Disclaimer : ข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นการเก็บรวมรวมข่าวสาร ตัวเลข สถิติและการวิเคราะห์ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการลงทุนของผู้เขียน การนำไปใช้ใดๆ จะถือว่าเป็นการตัดสินใจของท่านผู้อ่านเอง เพราะด้วยสภาพเงินทุนที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล การตัดสินใจและผลที่ออกมาอาจจะแตกต่างกัน ***  


ขอถือโอกาสตอบคำถามของคุณ 752 ไว้ในโพสต์นี้ครับ เพราะมีประเด็นและข้อมูลที่น่าสนใจและสำคัญๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึง  24 ชั่วโมง ของเมื่อวานนี้ คือ 28 ธันวาคม ครับ

เมื่อคืนที่ผ่านมาทองคำปรับตัวขึ้นถึง 1.5% หรือ $22 โดยประมาณ ในขณะที่ Silver พุ่งขึ้นถึง 4.45 % ครับ ก็พอจะเห็นแล้วครับว่า ทิศทางของแร่เงิน Outperform ทองคำไปถึง 3 เท่าตัว น่าสนใจครับ 

สัญญาโกลด์ฟิวเจอร์ส่งมอบเดือนธันวาคม หรือสัญญา Z ของฝั่งสหรัฐจะหมดอายุลงในวันนี้ คือ 29/12 ครับ และผลก็ออกมาอย่างที่เห็นทำไปได้แค่นี้ ด้วยวอลุ่มที่หนาแน่นเกือบตลอดทั้งเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เอาไม่ลงครับ ก็ได้แค่ $75 จาก Hi เดิม ที่ $1,431 โดยเฉพาะปลายเดือนช่วงรอยต่อเทศกาลอย่างนี้ ซึ่ง  "ผิดปรกติ" ครับ กลุ่มขาใหญ่ก็เจ็บตัวจากสัญญาเหล่านี้ไปอย่างมหาศาล พาลไปเอาคืนที่ทองแดงหรือ Copper ทำให้ราคาทองแดงตอนนี้ไม่รู้ว่าจะไปจบลงที่ตรงไหน เพราะทำ New High อย่างต่อเนื่อง สัญญานเทคนิคก็แทบจะไม่ตกเลย แต่หลังจากปิด Comex ของสิ้นเดือนนี้ไปแล้ว ทองแดงก็ต้องระวังการปรับฐานออกมาครับ แต่โอกาสที่จะไปต่อก็มีมากเช่นกัน เพราะทั่วโลกตอนนี้กำลังมุ่งความสนใจไปที่แร่งเงิน ทองคำและทองแดงตามลำดับ เหตุผลก็เพราะเจ้าแร่ 2 ตัวแรกแทบจะหาของไม่ได้ในระดับโลก

สำหรับเงิน SLV หรือแร่เงินซึ่งคือเป้าหมายที่แท้จริงในการเข้าทุบราคาในรอบนี้ ขึ้นหนักและลงหนักกว่าทองคำถ้าหากเราจับตาดูความเคลื่อนไหวในแต่ละวันครับ แต่ในที่สุดแล้วยืนอยู่ได้ที่ 29.xx หลังจากที่ทรุดลงไปอยู่ 27.xx เพียงแวบเดียว 

แล้วด้วยผลของการทุบราคาที่ไม่เป็นผลเท่าไหร่ ทำให้เมื่อวานนี้กลุ่มขาใหญ่เริ่มเปลี่ยนมุขเป็นการทำสเปรด และเริ่มมาอยู่ในฝั่งสัญญา L ครับ ซึ่งในทางเทคนิคก็คือการปลด S แบบกลายๆ ซึ่งไม่บ่อยที่เค้าจะทำอย่างนี้ หรือแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ แต่เท่านี้ยังไม่พอครับ คงต้องมีการปั๊มราคาขึ้นในอนาคตอันไกล้ จึงทำให้มีกระแสข่าววงในออกมาในลักษณที่หลังจากปีใหม่ตั้งแต่วันที่  4 เป็นต้นไปราคาโลหะทุกตัวคงจะพุ่งสูงขึ้นไปจนถึงประมาณวันที่ 15 เพื่อการนี้ แล้วก็จะเริ่มเป็น Sell Off Cycle หรือเทขายอีกรอบและกดราคา เพื่อจะไปปิดสัญญา S ในวันที่ 27 มกราคม ศกหน้า 

ดูตารางปิด Comex เหล่านี้ครับ :

สรุปผลที่ออกมาก็คือกลุ่มขาใหญ่ยังจะไม่ Default หรือผิดสัญญาส่งมอบในเดือนนี้ครับ แต่ก็สร้างความหวาดผวาให้กับตลาดมากจนเกิดความกังวลในเรื่องดังกล่าว จึงเกิดกระแสการแห่ไถ่ถอนทองคำ และแร่เงินที่ฝากไว้ในเซฟของ Comex อย่างต่อเนื่องและมหาศาล จนถึงวันนี้ ซึ่งเป็นที่รู้กันวงในว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับ Comex!!!

อย่างนึงที่ต้องทำความเข้าใจคือ การ Suppress หรือการกดราคาทั้งหมดนี้ ไม่ได้มีไว้เพื่อทำกำไรครับ จุดประสงค์หลักอันแรกคือ รักษาสถานะของเงินดอลล่าไว้ให้นานที่สุดตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา และระบบทั้งหมดนี้ก็คือ Fraud หรือ "การฉ้อโกง" ครับ ถ้าเรามองเห็น โดยการใช้การค้ากระดาษ Derivatives หรือตราสารอนุพันธ์เป็นเครื่องมือหลัก โดยมี FED และรัฐบาลสหรัฐอยู่เบื้องหลังทั้งหมด ผ่านหน้าฉากของกลุ่มธนาคารขาใหญ่ต่างๆ ทั้ง JPM, BofA, Citi, HSBC, โดยเฉพาะ GS หรือ โกลด์แมน แซค เพราะฉะนั้นเงินที่เอามาอัดในส่วนนี้ก็คือกระดาษของ FED นั่นเอง 

ข่าวสารที่เราบริโภคกันทั่วโลกจากหนังสือพิมพ์หรือข่าวต่างๆ นั่นเป็นเพียง "เบื้องหน้า" ที่จะคอยทำให้นักลงทุนรายย่อยหรือ "แมสเม่า" เต้นไปตามกระแสข่าวต่างๆ ส่วนกองทุนก็จะใช้ข้อมูลเหล่านั้นเพียงบางส่วนครับ ซึ่งเราจะเห็นภาพสะท้อนจากรายงาน COT ได้เป็นอย่างดี ในลักษณะการเล่นฟุตบอลแบบเด็กๆ คือ ลูกบอลอยู่ที่ไหนก็จะกรูกันไปที่นั่น แต่พวกขาใหญ่เหล่านี้กลับเป็นตัวกำหนดทิศทางของเกมส์อยู่ข้างสนาม

เพราะฉนั้น ข่าวสารข้อมูลที่เราใช้ๆกันอยู่ ก็คงเป็นการยากที่จะเอาชนะตลาดได้ครับ ไม่เช่นนั้นเราก็ไม่ต่างอะไรไปจากเด็กเล็กๆ เหล่านั้นที่กำลังวิ่งไล่ตามลูกฟุตบอล หรือที่ในภาษาการลงทุนจะเรียกว่า "แมงเม่า" นั่นเอง ข้อมูลในทางลึกเหล่านี้จะออกมาจาก House หรือสำนักวิเคราะห์ต่างๆที่ต้องจ่ายเงินเพื่อสมัครสมาชิก ซึ่งจริงๆแล้วก็คือการซื้อข้อมูล โดยเฉพาะ Insider หรือข้อมูลภายใน สิ่งนึงที่น่าสังเกตุครับ เช่น ทำไมตัวเลขเป้าหมายต่างๆ ของกูรูในวงการออกมาตรงกัน ในกรอบเวลาเดียวกัน ทั้งที่ไม่มีให้เห็นในกราฟเทคนิค??? โดยเฉพาะในช่วงนี้ครับ ทั้ง Jim Sinclair, Bob Chapman, Roger Wiegand และอีกมากมาย 

ฉะนั้นไม่ว่าคุณจะอ่านกราฟเทคนิคได้ขาดขนาดไหน รู้ปัจจัยพื้นฐานมากเท่าไหร่ นั่นก็เป็นข้อได้เปรียบหนึ่งครับ อย่างไรก็ดี หลายๆคนก็รู้เท่าๆกัน หรือไม่มากไม่น้อยไปกว่ากันในข้อมูลที่เข้าถึงได้เหล่านี้มิใช่หรือ หรือการอ่านค่าต่างๆเหล่านั้นก็ไม่น่าจะต่างกันมากเท่าไหร่ ซึ่งยังไงก็ยังดีกว่าการ "เดา" ครับ 

หลายวันที่ผ่านมามีกระแสข่าวในทางลบจากฝั่งสหรัฐหลายๆ เรื่องที่น่าสนใจครับ สดๆ ร้อนๆ เลยก็คือการประมูลพันธบัตรชนิด  5 ปี ที่ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าไหร่ จึงทำให้ 10 ปี และ 30 ปี ร่วงลงด้วย (ดอกเบี้ยพุ่งขึ้น) ทำให้เกิดความวิตกส่งผลต่อราคาทองคำเมื่อคืนวานครับ เป็นฉากหน้าอย่างที่เป็นข่าว และอีกสารพัดข่าวร้ายที่ "ถูกปล่อย" ออกมาเพื่อดันราคาทองคือ

1.ราคาเฉลี่ย ซื้อ-ขาย บ้านในเดือนตุลาคม ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4

2.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของเดือนธันวาคมปรับตัวลดลง
 
3.Baby Boomer จะมีอายุครบ 65 ปีในเดือนมกราคมนี้ ซึ่งจะทำให้กองทุนต่างๆ โดยเฉพาะ Medicare อาจจะเข้าสู่สภาวะล้มละลายจากการที่ต้องจ่ายเงินตามสิทธิดังกล่าว

4.เมืองต่างๆในสหรัฐกำลังเข้าสู่สภาวะล้มละลาย
 
5.Muni Bond Collapse หรือพันบัตรรัฐบาลท้องถิ่นหรือรัฐต่างๆ ที่กำลังสะดุด และอาจจะต้องปิดตัวลงเพราะไม่มีเงินพอในการบริหารเมืองต่อไปได้ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วครับ ทั้งที่ แคลิฟอเนีย, มิชิแกน และอิลลินอยส์

6.JPM มีคดีถูกฟ้องร้องเพิ่มขึ้นจากกรณีบิดเบือนราคาแร่งเงิน
 
7.จีนชลอการส่งออกสินแร่หายากต่างๆ (Rare earth metal) ทำให้สหรัฐต้องไปร้องเรียนกับ WTO ในประเด็นดังกล่าว

แต่ข่าวทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงครับ ที่ประดังออกมาในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ทิศทางราคาจะไปทางไหนในระยะสั้น กลาง และยาว ก็พอจะคาดการณ์กันได้แล้วนะครับ.......


ทองคำ / GLD
แนวต้าน 1407 
เส้นเปลี่ยนเทรนด์ 1393
แนวรับ 18 วัน 1391
แนวรับ 45 วัน 1377
แนวรับล่าง 1368
แนวรับ 100 วัน 1324
ทิศทาง กลับตัวขึ้นอย่างฉับพลัน


เงิน / SLV
แนวต้าน 30.37
แนวรับ 18 วัน 29.25
แนวรับล่าง 28.27
ทิศทาง กลับตัวขึ้นอย่างฉับพลัน

ของฝากวันนี้เป็นโปรแกรม Kcast ของ Kitco ครับ ติดตั้งเพื่อดูราคาทองคำ เงินและอื่นๆ แบบเรียลไทม์ รวมทั้งกราฟย้อนหลังและลิ๊งค์ต่างๆ สวยงามและใช้งานได้ดีทีเดียวครับ

The Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook
http://www.facebook.com/home.php?sk=group_170408246326805&ap=1

วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Phase II.......Part 7 of ( "การทำลายล้าง" และ "ความรอด" 3 )

Disclaimer : สิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่ เป็น "ความเชื่อส่วนบุคคล" ครับ ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ความเชื่อ เศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ การเมือง และอริยธรรมของมนุษย์ ในการการศึกษาค้นคว้าของผู้เขียน ความคิดต่าง เห็นต่าง ขอให้เป็นดุลยพินิจของท่านผู้อ่านครับ.......

เช้าวันหนึ่งเมื่อสัปดาห์ก่อนผมมีโอกาสได้ดูทีวี มีรายการนึงน่าสนใจครับ มีพิธีกรชายท่านหนึ่งพาไปเยี่ยมเยียนชีวิตความเป็นอยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียงของ ศิลปินตลกอาวุโสท่านนึงครับคือ "ป๋าเทพ โพธ์งาม" คือป๋าเทพแกไปซื้อที่ไว้ 10 ไร่ครับที่จังหวัดซักแห่ง เพราะผมไม่ได้ดูแต่แรก แล้วแกก็ใช้ Concept หรือ "หลักปรัชญา" เศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงสร้างสรรค์ทุกอย่างขึ้นครับ ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ ปลูกข้าว ปลูกผัก ผลไม้ สีข้าวและอีกสารพัด น่าจะครบวงจรหมด คือแกแทบจะไม่ต้องหาหรือต้องใช้ "เงิน" เลยครับ ในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เพราะทุกอย่างมันเป็นระบบหมุนเวียนกันเหมือน "ระบบนิเวศน์" ในตัวมันเอง

ที่น่าทึ่งคือ ถ้าเราถอดหรือมองทะลุความเป็น "ตลก" ของแกเข้าไปแล้วเราฟังในสิ่งที่แกคิดหรือพูดออกมาแล้ว เหมือนเรากำลังฟังปราชญ์ท่านนึงทีเดียวครับ เพราะด้วยวัยและประสบการณ์และหลักคิดของแก อาจจะเรียกได้ว่า "ตกผลึก" แล้วล่ะครับ แม้อาจจะเป็นการพูดไป หัวเราะไป เล่นไปตามสไตล์ของแก แต่ถ้าเอาคำพูดและความคิดของแกมาวิเคราะห์ล่ะก็ ต้อง "อึ้ง" เลยล่ะครับ

เพราะฉะนั้นหลักการเศรษฐกิจพอเพียง ในความคิดของผมก็คือ การพึ่งพาและยืนอยู่บนขาตัวเราเองให้มากที่สุดในทุกระดับ " ถ้าคุณใช้มากกว่าที่หาได้คุณก็หมด ถ้าคุณหาได้มากกว่าที่คุณใช้คุณก็เหลือเก็บ " แต่ถ้าคุณสามารถใช้โดยที่คุณไม่ต้องหา คุณก็จะไม่มีวันหมดและอาจจะมีเหลืออีกต่างหาก หรือจะเรียกอย่างสั้นๆว่า "ยั่งยืน" ผมว่าน่าจะเป็นอะไรที่สุดยอดแล้วครับ ก็คืออย่างที่บอกครับว่ามันครบวงจร ไม่ได้อยู่ที่ขนาด ว่าใหญ่หรือเล็ก ต้องมากหรือน้อย มันอยู่ที่ "ความพอดีและพอใจ" มากกว่าครับ

ทีนี้เลยจะเกิดคำถามตามมามากมายครับ แล้วหลายท่านที่เป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิดหรือใช้ชีวิตอยู่ในเมือง อย่างนี้จะต้องขายบ้านเข้าไปทำไรทำนาเหมือนกันหมดเลยหรือเปล่า คำตอบคือ "ใช่และไม่ใช่" ก็คือ...ใช่ในหลักการแต่ไม่ใช่ในวิธีการครับ ก็คือทำยังก็ได้ให้เราลดการพึ่งพาหรือการซื้อหาจากภายนอกให้ได้มากที่สุด การลดการพึ่งพาเทคโนโลยี การสื่อสาร คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และทุกๆอย่างที่เกินความจำเป็นลง โดยต้องคิดครับว่าที่เราคิดว่ามันจำเป็นและขาดไม่ได้ก็เพราะ เราถูกสอนถูกฝึกหรือถูกปลูกฝังมาอย่างนั้นครับ ถ้าย้อนกลับไปดูรุ่นปู่ย่าตายายท่านก็อยู่มาได้โดยไม่มีสิ่งเหล่านี้ แต่ทั้งหมดก็จะกลับไปอยู่บนความ "พอดีและพอใจ" และแต่ละบุคคลครับ

ยิ่งทำได้มากเท่าไหร่ "ความยั่งยืน" ก็จะมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัวครับ และอีกอย่างที่คุณจะได้เป็นของแถมทีมีค่ามากๆ ก็คือ สุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีขึ้น ที่ผมกล้าบอกคุณอย่างนี้เพราะผมกำลังทำอยู่ครับแล้วยังพัฒนามันต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องทิ้งทุกอย่างที่เรามีหรือความเป็นตัวเราทั้งหมด ค่อยๆปรับค่อยๆเปลี่ยนไปครับ "ปรับขนาด ลดสเกล" มันลงมาให้เหมาะกับตัวเรา แต่ยังไงก็ต้องดูทิศทางลมพายุที่กำลังตั้งเค้าแล้ว มันจะหนักมากครับครั้งนี้ ใครที่ทำได้ก่อนหรือทำได้มากก็โดนน้อย แต่ถ้าทำได้น้อยก็ต้องโดนมากเป็นธรรมดาครับ

หรืออย่างน้อยคุณก็ต้องรู้ว่าเมื่อวิกฤติการณ์เกิดขึ้นแล้วคุณจะไปไหน ต้องไปหาใครอย่างไร ด้วยวิธีไหน คุณจะทำหรือไม่ทำอะไร และเมื่อไหร่ ถ้าคุณทำแล้วคุณจะไม่ Panic หรือตื่นตระหนกครับไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะว่า หนึ่งคุณรู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้วจากการบอกเล่าของผม สองคุณเตรียมความพร้อมแล้วในระดับหนึ่ง และสามคุณกำลังรอดูสิ่งต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อที่จะทำการ "แปลงวิกฤติให้เป็นโอกาส"...สำหรับผู้ที่มองเห็นครับ

เพราะฉะนั้น Trend หรือทิศทางหรือแนวโน้มของเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ สังคม ความเป็นอยู่ การทำมาหากิน การประกอบอาชีพ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ แบบ "ฉับพลันทันที" ครับ เพราะว่าจะมีคนที่รู้และตามทันสิ่งที่จะเกิดขึ้นน้อยมากๆ เพราะ "ไม่กล้าคิด" ยิ่งถ้าติดกรอบความคิดหรือกรอบการศึกษาในโลกปัจจุบันนี้อยู่ด้วยแล้ว จะยิ่งลำบากครับ ทุกอย่างจะกลับไปสู่พื้นฐานหรือ Back To Basic หรือกลับสู่สามัญคืออะไรที่มีความจำเป็นในลำดับต้นๆ ในการดำรงชีพของมนุษย์ นั่นแหละครับจะเป็นกระแสที่จะมา

อย่างที่ผมเคยทำนายไว้ครับว่า "หัวจะกลายเป็นหาง หางจะกลายเป็นหัว, คนยากจนจะกลับมั่งมีและคนมั่งมีจะกลายเป็นคนยากจน" .....พอจะนึกภาพออกแล้วนะครับ แล้วเรามารอดูกันครับว่าจะเป็นจริงแค่ไหน

เอาล่ะครับที่ผ่านมาทั้งหมดก็เป็นเรื่องของการดิ้นรนเอาตัวรอดในด้านร่างกายหรือ Physical เพื่อรอรับเหตุการณ์ความพลิกผันทางเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงของโลก ที่คิดว่าจะแผลงฤทธิ์ในครึ่งหลังของปี 2011 หรือไม่เกินกลางปี 2012 แต่ทั้งหมดจะไม่ได้เกิดขึ้นแบบโครมเดียวครับ จะมีสัญญานต่างๆ ออกมาเป็นระลอกๆ จากทางสหรัฐ ยุโรป อังกฤษ จีน รัสเซีย รวมทั้งประเทศเศรษฐกิจอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ต่างๆ ที่คุณต้องทำคืออ่านสัญญานแล้วรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ต้องเตรียมพร้อมและติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวพร้อมกันไปครับ แล้วดู Sequence หรือลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผมเขียนไว้ในโพสต์ที่แล้ว หรือคุณจะพัฒนามันขึ้นมาเองก็แล้วแต่ การล้มตัวในลักษณะโดมิโน่จะไล่ไปเรื่อยๆและน่าจะใกล้เคียงตามนั้นครับ เพียงแต่ว่าอะไรที่จะเป็นตัวจุดชนวนหรือ Spark ขึ้นมาก่อน แต่ผลหรือโดมิโน่ตัวต่อๆไปที่จะล้มลง ก็จะออกมาไม่ต่างกันในที่สุด

ในสหรัฐตอนนี้กลุ่ม Patriot หรือ Truth Movement หรือคนอเมริกันจำนวนไม่มากแต่ก็ไม่น้อยครับ ที่ตื่นแล้ว ก็เตรียมความพร้อมกันเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะนักลงทุน "วงใน" หรือนกรู้หรือพวกอินไซเดอร์ต่างๆ เค้าทำอย่างไรกันบ้างไว้จะโพสต์วีดีโอไว้ให้ครับ เห็นแล้วรู้สึกเลยว่า ต้องขนาดนั้นเลยหรือ ถ้าคุณยังอยู่ในสหรัฐหรือเลือกที่อยู่ที่นั่นก็ควรที่จะทำขนาดนั้นครับ แต่สำหรับในบ้านเราก็คงต้องดูผลกระทบกันเป็นรายตัว รายภาคไป แต่อย่างหนึ่งที่ผมกังวลคือ การพึ่งพาฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะภาคการเมือง คงจะทำอะไรไม่ได้เลยครับ เพราะการแข่งกีฬาสี ระหว่าง สีเหลือง สีแดง สีน้ำเงิน และอีกสารพัดสี คงยังคุกรุ่นอย่างต่อเนื่อง แล้วก็ลากเอาผู้คนอีกจำนวนมากเข้าไปอยู่ในวัฏจักรเหล่านั้นด้วย และบางส่วนก็กลายเป็นโลกทั้งใบของพวกเค้าไปแล้ว

ความสามัคคีและความเป็นเป็นเอกภาพของคนไทยหรือคนในชาติ คงยากที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น หรือภายใน 1-2 ปีนี้ครับ เพราะฉะนั้นเมื่อ "ปัจจัยภายนอก" กระแทกใส่เข้ามาแล้ว คงจะ "หนัก" ครับ เพราะภายในก็ยังแบ่งสี แบ่งพวก เล่นการเมือง ตีกันอยู่อย่างนี้ แต่ละฝ่ายคิดถึงแต่อำนาจและความอยู่รอดของตัวเอง ถ้าประเมิณจาก " วิธีการบริหารจัดการ " ในแก้ปัญญาน้ำท่วมใหญ่ครั้งที่ผ่านมาก็คงจะพอจะเดาทิศทางได้นะครับ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องมองในภาพรวม เพราะปัญหาใหญ่ๆ ขนาดนั้นต้องการการแก้ปัญหาในระดับนโยบายหรือในระดับชาติที่ถูกทางและตรงจุด โดยเฉพาะจะยึดตามกรอบ ตามตำราฝรั่งไม่ได้เลยครับ เพราะครั้งนี้ปัญหาทั้งหมดมาจากฝรั่งล้วนๆ   

แต่ในใจลึกๆ ผมก็ยังมีความหวังว่า เมื่อวันนึงที่ปัญหาในระดับโลกอุบัติขึ้นแล้ว จะทำให้ทุกคนในชาติ ไม่ว่าจะสีไหน หรือพรรคอะไร จะตระหนักถึงผลกระทบอันรุนแรงที่จะเกิดขึ้นต่อทุกคนในชาติอย่างเท่าเทียมกันหมด ไม่ว่าคุณจะเลือกอยู่ข้างเสื้อสีไหนก็ตาม ผมหวังว่าวันนั้นจะเป็นวันที่คนไทยจะระลึกได้ว่าทุกคนก็เป็นคนไทยเหมือนกัน ยังสามารถที่หลอมรวมกัน กลับมาเป็นคนไทยเหมือนก่อนที่วิกฤติการณ์ทางการเมืองจะแบ่งแยกพวกเราออกจากกัน เพื่อฝ่าฟันปัญหาต่างๆไปพร้อมกัน ด้วยความเป็นเอกภาพในที่สุด


The Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook
http://www.facebook.com/home.php?sk=group_170408246326805&ap=1

Insider by Lindsey Williams ( Dec 23, 2010 )

สรุปให้คร่าวๆครับ กับบทสัมภาษณ์เพิ่มเติม โดย Lindsey Williams ในรายการ Radio Liberty โดยมีพิธีกรคือ Dr.Stan และยังคงยืนยันในข้อมูลภายในที่ได้รับมาโดยได้เพิ่มเติมบางประเด็นดังนี้ คือ

1.เหตการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่วอชิงตัน(ศูนย์กลางอำนาจของสหรัฐและของโลก) หรือในโลกการเงิน ไม่มีอะไรที่เป็นความบังเอิญ ทุกอย่างถูกออกแบบหรือกำหนดให้เป็นอย่างนั้น (By Design)

2.จากการเปิดเผยของ IMF ในปี 2011 ที่จะถึงนี้ 15 ชาติมหาอำนาจตะวันตก ซึ่งรวมทั้ง สหรัฐ ญี่ปุ่น อังกฤษ สเปน กรีซ  มีภาระที่จะต้องระดมเงินหรือสภาพคล่อง ไม่ต่ำกว่า $10.2 Trillion เพื่อจ่ายดอกเบี้ย(เท่านั้น) ซึ่งยังไม่รวมถึงเงินต้น สำหรับพันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนด ซึ่ง "เป็นไปไม่ได้" ในทางปฏิบัติ หรือเท่ากับ 27% ของ GDP ของเศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลกเมื่อนำมารวมกัน ซึ่งหมายถึงค่าเงินของประเทศเหล่านั้นจะเสื่อมลงอย่างต่อเนื่องในปี 2011

3.ในอีกไม่ 4-5 เดือนข้างหน้าจะเกิดความขัดแย้งใหญ่ในตะวันออกกลาง (ไม่มีการระบุรายละเอียดว่ามาจากฝ่ายไหน) และจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นสูงอีกครั้งหนึ่ง ราคาขายปลีกน้ำมันในสหรัฐจะไต่ขึ้นสู่ระดับ $4-$5/แกลลอน

4.ไม่ต้องใส่ใจความขัดแย้งของ  2 เกาหลี 

5.คนอเมริกันจะไม่สามารถอาศัยหรือฝากชีวิตไว้กับ 401K, IRA และ Retirement Account ได้อีกต่อไป

6.จับตาดูสกุลเงินยูโรและประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป เมื่อถึงเวลาที่เงินสกุลยูโร "ล้ม" แล้ว จะมี 2-3 เพียงสัปดาห์เพื่อจะออกจากกระดาษทั้งหมด

7.อาหารและน้ำดื่มในสหรัฐจะไม่ขาดแคลน แต่....ประชาชนจะไม่มีเงินพอที่จะซื้อเพราะการเสื่อมลงของค่าเงินดอลล่าอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ( Hyperinflation )   



The Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook
http://www.facebook.com/home.php?sk=group_170408246326805&ap=1

NWO Documentary...... " IRAQ for Sale " The war profiteer

เบื้องหลัง ความเป็นจริง และการแสวงหาผลประโยชน์จากสงครามอิรัคใน  " IRAQ FOR SALE " The war Profiteer เวอร์ชั่นเต็ม ความยาว 1 ชั่วโมง 20 นาที


The Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook
http://www.facebook.com/home.php?sk=group_170408246326805&ap=1

"แฉ" เบื้องหลัง US Federal Reserve By Robert T. Kiyosaki

และแล้วก็ถึงคราวที่โรเบิร์ต คิโยซากิ แห่ง Rich Dad Poor Dad ออกมาเปิดโปงเบื้องลึกเบื้องหลัง และความเป็นจริงที่คนไม่เคยรู้เกี่ยวกับความเป็นตัวตนของ US Federal Reserve หรือ FED 

ตรงๆ เต็มๆ ตามสไตล์ไม่มียั้งมือ เพราะฉะนั้นแฟนๆ ผู้อ่าน Rich Dad จากทั่วโลก อย่าพลาดครับ!!!


The Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook
http://www.facebook.com/home.php?sk=group_170408246326805&ap=1

ตัวจริง เสียงจริง.......คำพยากรณ์โดยชนเผ่ามายัณ สำหรับปี 2012


Do you have a message to humanity?
 
"To all my brothers and sisters who listen to this message.  These words are not mine, but words from our ancesters. In the prophecy of the Maya says: in the time of 12 baktun and 13 ahau is the return of the ancesters and the man of wisdom.  Let the morning come, let the dawn come.  So I'm leaving this message, dont' be afraid.  Take this message and spread it to the world."

"ถึงพี่น้องผู้ที่ฟังข้อความนี้อยู่ คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่ของฉันเอง แต่เป็นคำพูดจากบรรพบุรุษของเรา ในคำพยากรณ์ของเผ่ามายากล่าวไว้ว่า ในช่วงเวลาแห่งปี 2012 คือการกลับมาของบรรพบุรุษของเรา ผู้เต็มไปด้วยสติปัญญา(light bearer) ให้ความสว่างเข้ามาเถิด(Morning Star) ให้ความมืดมิดเข้ามาเถิด(Darkness) ดังนั้นฉันจะฝากข้อความเหล่านี้ไว้ ...ไม่ต้องกลัว... รับข้อความนี้ไว้และแพร่กระจายมันไปทั่วโลก"  
Link : Subliminal Message 3 of 14 ( Devil and The Mayan King)

***และเรื่่องราวตรงส่วนนี้มีความสอดคล้องและตรงกันกับหลายๆ บริบทของหนังสือวิวรณ์ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลครับ

The Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook
http://www.facebook.com/home.php?sk=group_170408246326805&ap=1

9 คำพยากรณ์ทางเศรษฐกิจ สำหรับปี 2011 By David Chu

1. The U.S. will implement QE3/4 when the $600 billion of QE2 is not enough (already it is not enough as admitted by the Fed's chairman Benjamin Shalom Bernanke recently on CBS' 60 Minutes). Except it won't be called as such in the lamestream media. QE3/4 will be in the trillions of U.S. dollars (USD) of quantitative easing, i.e., fake digital money printing from the Fed to sop up unwanted U.S. Treasuries. The unstated and ONLY purpose of QE2 and QE3/4 is to buy up all of the U.S. Treasury debts that the foreign nations are beginning to refuse to buy while they are quietly dumping what they possess on the U.S. and world markets in exchange for real and tangible assets and resources. 

สหรัฐจะมีการประกาศ QE3/4 เมื่อปริมาณเงิน 600 Bil. จาก QE2 ไม่เพียงพอแล้ว (ซึ่งเบอนันเก้ ก็ออกมาพูดเปิดทางไว้แล้วว่าไม่เพียงพอ ในรายการ 60 Minutes)
 
2. The major export nations like China, Russia, Brazil, India, Argentina, and others will engage in and increase their non USD-denominated trading among themselves, as exemplified by the recent China-Russia trade agreements whereby they would start trading in Rubles and Yuans, and not use USD as is typically transacted in international trades for commodities and oil. This will put increasing devaluation pressures on the USD. So, look forward to the US Dollar Index to drop further from the low 80s now to the low 70s or even lower in 2011. 

ประเทศผู้ส่งออกที่สำคัญ คือ จีน รัสเซีย บราซิล อินเดีย อาเจนติน่า และอื่นๆ จะเพิ่มปริมาณข้อตกลงทางการค้าระหว่างกัน โดยการชำระราคาจะไม่ทำในสกุลดอลล่า (คือขยายเพิ่มจากจีนและรัสเซีย)

3. Retail food prices in the U.S. will increase in the low to medium DOUBLE digit ranges (10% to 40%) for everything from the junk/GMO "foods" served by corporations like McDonald's to healthy/organic foods supplied by companies like Whole Foods Market. This will take place noticeably in the first half of 2011. 

ราคาสินค้าในหมวดอาหารในประเทศสหรัฐ ในทุกหมวดจะพุ่งสู่งขึ้นอย่างน้อย 10-40%

4. The real estate market in Canada will finally begin its collapse suddenly after the new year celebrations are over, mimicking the real estate crash of the U.S. that began in late 2008. Over heated markets like Vancouver will suffer the most as the average house price there is around $1 million Canadian (the Canadian dollar is almost on par with the USD). The average homeowner in Vancouver is spending about 70% of its BEFORE-tax income on paying mortgages. This financial situation is totally unsustainable. To illustrate a parallel, past example why it is going to be the case: In 2005, the "median" California family spent almost 73% of their AFTER-tax income on their "median" California house ($477,700), and look what happened to the real estate market in California. A 50+% devaluation of the Vancouver real estate market is very likely over the next 1-3 years. But the crash will begin in early half of 2011. 

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของแคนาดาจะเริ่ม "ล้ม" ทันทีหลังจากเทศกาลปีใหม่

5. The Chinese real estate market, the last investment vehicle in China for those Chinese with money, will also begin its collapse suddenly, hitting hard cities like Shanghai, Beijing, Fuzhou, etc. According to a very recent article by UK's Daily Mail Online, there are as many as 64 MILLION empty homes in China with no one occupying these brand new homes! This China real estate crash will have serious implications for the real estate market in Vancouver. There won't be m/any Chinese millionaires plunking down $1+ million CASH for buying real estate in Vancouver, as has been the case over the recent years. 

ตลาดอสังหาริมทรัย์ของจีน ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนสุดท้ายทางเศรษฐกิจจะเริ่ม "ล้ม" อย่างฉับพลัน โดยเฉพาะเมืองใหญ่อย่าง เซี่ยงไฮ้ กวางเจา ฟูโจว และอื่นๆ

6. Inflation will run rampant in China as it is already doing so with retail food prices. See my recent article (www.rense.com/Currency%20Wars%20For%20Dummies.pdf) as to the real causes of huge inflation in China. Unless China allows its Yuan to appreciate (increase in value) against the ever falling USD, rampant inflation in China will continue its course unabated. If China allows its Yuan to appreciate by any significant amount (7% or more), such an action will DECIMATE its export industries and manufacturers, because of the extremely thin profit margins that their exporters have to work with. China will raise its interest rates to try to stop inflation but that will not do the job. In fact, raising interest rates will only cause more foreign currencies to go into China in search of higher yields, unless China imposes strict restrictions on the importation of foreign currencies and investments. 

อัตราเงินเฟ้อในจีนจะพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งราคาอาหาร

7. The EU will continue its financial collapse, as nations like Spain, Portugal, and Italy will join Greece and Ireland in facing the stark choice between (Option 1) bailing out THEIR banksters or (Option 2) having THEIR nation go bankrupt. The IMF/World Bank model of "rescuing" these EU nations were perfected on the so-called Third World nations such as Argentina (viz., John Perkins' book, "Confessions of an Economic Hitman"). In 2001, Argentina defaulted on its IMF loans, i.e., it was forced to take Option 2, and its people suffered tremendously as the majority of its middle class was literally wiped out overnight. The Banksters in Argentina (with such strange and exotic names like JPMorgan Chase, Citibank, etc.) were able to fly out their billions of USD on private jets before the forced conversion and devaluation of the Argentina pesos/savings were implemented on the masses. Millions of Argentineans keep their savings as USD in their banks before the collapse. When the forced conversion and devaluation of those USD savings were imposed on its citizens, the banks were closed and ATMs withdrawals were limited to a few hundred pesos (less than $50 USD) per person per day. Overnight, Argentineans saw their savings lose over 75% in value (the peso went from 1:1 to 4:1, requiring 4 pesos to buy 1 USD overnight). And then the multi-national corporations came in like financial vultures and bought up the natural resources and public utilities for pennies on the USD. THAT is IMF's Option 2 for Spain, Portugal, and Italy. Option 1 is long term financial servitude and slavery for the citizens of the bankrupt country as is happening to Ireland. 

ประเทศสมาชิกในกลุ่มสหภาพยุโรปจะ "ล้ม" ลงอย่างด้วยปัญหาหนี้เสีย สเปน โปรตุเกส และอิตาลี่ จะมีชะตากรรมเดียวกับกรีซและไอร์แลนด์ โดยมีเพียง  2 ทางเลือกคือ หนึ่งเข้าไปอุ้มประเทศเหล่านั้น หรือสอง ปล่อยให้ประเทศเหล่านั้นล้มละลายลง กลายเป็นประเทศในโลกที่ 3 ที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับอาเจนตินา ในปี 2001

8. Silver and gold will continue to climb in 2011. Silver will increase much more than gold in 2011, as the "Crash JP Morgan, Buy Silver" viral campaign started by Max Kaiser in early November will take off exponentially in 2011. Silver will breach $50 per ounce in 2011. 

ราคาแร่เงินและทองคำ จะไต่ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแร่เงินจะมีอัตราเร่งที่สูงกว่าทองคำในปี 2011 (เป็นมาหลายปีแล้ว) โดยแร่เงินจะแตะระดับ $50/ออนซ์ในปี 2011

9. A major war will break out somewhere in the world in 2011 (if not in 2011 then definitely in 2012) involving the U.S. and/or one of its proxy allies, i.e., Israel, South Korea, etc. The very recent massive war exercises conducted by South Korea and the U.S. were meant to provoke a military response from North Korea. Fortunately, the North Koreans didn't take the bait. This will be the final American Bubble to inflate as the U.S. will try to use "shock and awe" on either North Korea or Iran or even maybe a country in Africa in a futile attempt to bypass and cover up the greatest economic and financial collapse in world's history. 

สงครามใหญ่จะอุบัติขึ้นในปี 2011 (ถ้าไม่ใช่ในปีหน้านี้ก็จะต้องเกิดอย่างแน่นอนในปี 2012) 

________ David Chu is a professional engineer who has worked throughout the United States for over 19 years. In 2008, he wrote the book, NO FORECLOSURES!, to help Americans fight the Banksters by delaying and stopping foreclosures. For more information on his book, please go to www.no2foreclosures.info or you may email him at david@no2foreclosures.info. 

***ทั้งหมดเป็นเพียงคำทำนายโดยนาย David Chu นะครับ ในความเห็นของผม หลายๆคำทำนายแทบจะไม่ใช่คำทำนาย เพราะก็เป็นอย่างที่เห็นๆกันอยู่ และถ้าไม่เกิดขึ้นจริงก็แปลกแล้วล่ะครับ 

The Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook
http://www.facebook.com/home.php?sk=group_170408246326805&ap=1

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

NWO Documentary...... " Fall Of The Republic "

สำหรับท่านใดที่ยังคับข้องใจเรื่องอนาคตของเงินดอลล่า ลองดูสารคดีชุดนี้ครับ แล้วจะรู้ว่าทุกอย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องเชียร์ ยังไงก็มาครับ เมื่อไหร่และอย่างไรเท่านั้นเอง....


The Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook
http://www.facebook.com/home.php?sk=group_170408246326805&ap=1

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Phase II.......Part 6 of ( "การทำลายล้าง" และ "ความรอด" 2 )

Disclaimer : สิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่ เป็น "ความเชื่อส่วนบุคคล" ครับ  ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ความเชื่อ เศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ การเมือง และอริยธรรมของมนุษย์ ในการการศึกษาค้นคว้าของผู้เขียน ความคิดต่าง เห็นต่าง ขอให้เป็นดุลยพินิจของท่านผู้อ่านครับ.......  

Sequence หรือลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผมดูไว้มีดังนี้ครับคือ 

1.ตลาดหุ้น>เศรษฐกิจ>เงินดอลล่า>เงินสกุลอื่นๆ
2.ตลาดพันธบัตร>ดอลล่า>ตลาดหุ้น>เศรษฐกิจ>เงินสกุลอื่นๆ
3.ยูโร>ตลาดหุ้น>เศรษฐกิจ>ดอลล่า>เงินสกุลอื่นๆ
4.ยูโร>ดอลล่า>ตลาดหุ้น>เศรษฐกิจ>เงินสกุลอื่นๆ (Lindsey Williams)
5.CA>ตลาดหุ้น>เศรษกิจ>ดอลล่า>เงินสกุลอื่นๆ (2012)
6.สงคราม>ดอลล่า>ตลาดหุ้น>เศรษฐกิจ>เงินสกุลอื่นๆ (Ron Paul)
7.การก่อการร้าย>ตลาดหุ้น>เศรษฐกิจ>เงินดอลล่า>เงินสกุลอื่นๆ

ซึ่งดูแล้วทุกอันมีความเป็นไปได้เกือบจะเท่ากันหมดครับ เพราะต้องยอมรับครับว่า Life Line หรือ "ความเป็นความตาย" ของสหรัฐไม่ได้อยู่ในมือของเค้าเองทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติเจ้าหนี้ต่างๆ เช่นจีน ญี่ปุ่น รัสเซีย และชาติน้ำมันต่างๆ ซึ่งเมื่อขยับเมื่อไหร่ก็จะส่งผลกับดอลล่าและทิศทางของตลาดในทันที 

ส่วนตัวผมมองว่าความอยู่รอดในเรื่องปากท้องหรือเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องยากครับ ซึ่งก็จะวัดกันตรงที่ใครมองเห็นอะไรมากกว่ากัน ทำความเข้าใจกับเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ได้แค่ไหน ประสบการณ์ที่ผ่านมาและ "การเตรียมพร้อม" ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดครับ การเข้าซื้อทองคำและแร่เงินก็เป็น "เพียง" เครื่องมือตัวหนึ่งที่ทำง่ายคิดง่าย ในวงเล็บ "ถ้ามีทุนพอครับ" จึงเกิดคำถามครับว่าถ้าไม่มีล่ะจะอยู่ไม่ได้หรือคำตอบคืออยู่ได้ครับ เพียงแต่ต้อง "คิด" ให้มากขึ้นอีกหน่อย

ผมจะขอแก้ ค่านิยม ความความเชื่อ หรือกรอบความคิดหนึ่งที่ผมเริ่มเห็นหลาย "กูรู" ที่พูดกันมากขึ้นในสังคมไทย ณ เวลานี้ นั่นก็คือการที่มี "ผู้รู้" หลายๆท่านออกเขียนบทความหรือให้ความเห็นในลักษณะที่ว่า "ทองคำกำลังเป็นฟองสบู่" แล้วไม่รู้ว่าฟองสบู่ทองคำกำลังจะแตกเมื่อไหร่ เอาล่ะครับ คนที่เก็บสะสมทองคำไว้มากๆเริ่ม....หนาว

ผมจะขอมองในอีกมุมหนึ่งครับ จะคิดต่างเห็นต่างขอให้เป็นสิทธิของท่านผู้อ่านทุกชาติทุกภาษาเอง โดยเริ่มจากคำถามก็คือ Fundamental หรือปัจจัยพื้นฐานของทองคำอยู่ที่ตรงไหน จำกรอบความคิดนึงที่ผมบอกคุณว่าคุณต้องทำลายมันลงได้ไม๊ครับ นั่นก็คือ "ธนบัตรหรือกระดาษต่างๆที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์ของคุณคือเงินจริงๆ เพราะฉะนั้นดอลล่าก็ยิ่งเป็นเงินด้วย"

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วธนบัตรหรือกระดาษเหล่านั้นคือ "หนี้" ครับเป็นหนี้ที่เกิดจากการที่คุณนำทองคำไปฝากไว้ธนาคารกลางของประเทศ แล้วเค้าก็พิมพ์กระดาษาเหล่านี้ออกมาใช้หมุนเวียนแลกเปลี่ยนซื้อขายในตลาด แทนที่จะนำทองคำจริงๆมาทำธุรกรรมกันซึ่งก็คงจะแปลกๆครับถ้าจะทำอย่างนั้น แต่....อาจจะเป็นจริงขึ้นซักวัน "อยู่ช่วงหนึ่ง" ครับในอนาคต แล้วในภาวะที่ความไม่แน่นอนพุ่งสูงขึ้น สิ่งที่คุณจะต้องถือครองคืออะไรครับ ทองคำหรือกระดาษ??? ทองคำก็คือทองคำครับ มันอยู่ของมันเฉยๆ ถ้าไม่เชื่อคุณลองเอาทองเก่าๆที่คุณเก็บไว้ขึ้นมาดูสิครับ ลองมองดูมันแล้วถามตัวเองว่าสร้อยคอหรือแหวนทองคำเส้นนี้หรือวงนี้มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า???

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจริงๆ ก็คือปริมาณกระดาษหรือที่เรียกว่าธนบัตรที่ถูกพิมพ์ออกมาสู่ตลาดมากขึ้นๆๆ มาตลอด โดยเฉพาะ "ดอลล่า" ที่ไม่มีอะไรหนุนเลยครับ นอกจาก "ความเชื่อมั่น" แล้วถามว่าวันนี้ความเชื่อมั่นเหล่านั้นอยู่ที่ไหนและมีสภาพเป็นอย่างไร??? เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะไปนำทองคำที่ฝากไว้เหล่านั้นกลับคืนมาก็คือคุณต้องใช้ปริมาณกระดาษหรือที่เรียกว่าธนบัตรเหล่านั้นมากขึ้นนั่นเองครับ

สรุปคือทองคำไม่ได้แพงขึ้นครับแต่ปริมาณของกระดาษมันเยอะ มันเฟ้อหรือมันถูกลง นี่ก็เป็นหลักคิดง่ายๆครับเพื่อที่จะเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงของทองคำ เพราะฉะนั้น...คุณไม่ได้ไปซื้อทองเพื่อซื้อทองครับ

และเมื่อไหร่ที่เงินกระดาษทุกสกุลเข้าสู่การ "เสื่อม" ลงพร้อมๆกัน ซึ่งไม่ต้องห่วงครับ IMF รอที่จะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพอยู่แล้วที่จะเข็นสกุลเงินใหม่ออกมาหรือหรือที่เรียกว่า New World Currency หรืองเงินตราสกุลใหม่และจะเป็นเงินสกุลเดี่ยวและสกุลเดียวของโลก ที่จะมาแทนที่ Paper Currency ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ "ทันที" ที่ระบบเงินกระดาษปัจจุบันไปไม่ไหว หรือล้มไม่เป็นท่าแล้วเพราะปัญหา "Hyperinflationary Depression" หรือปัญหาเงินเฟ้อขั้นร้ายแรงที่จะก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำในระดับโลก ซึ่งจะเกิดพร้อมๆกันทั่วโลก อันเนื่องมาจากการที่เงินยูโรและดอลล่าล้มตัวลง ในขณะที่เงินสกุลหลักอื่นๆในระบบตะกร้าก็ตามกันไปเพราะอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน

ผมอยากให้คุณทำความเข้าใจกับข้อความด้านบนนี้ให้ดีครับ มันจะเป็นวิกฤติการณ์ที่ยิ่งใหญ่มาก ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์โลกที่คาดว่าจะเกิดในช่วงปลายปี 2011-2013 ก่อนที่ IMF จะ "หาเรื่อง" เข็นเงินสกุลใหม่ออกมาใช้โดย "อ้างว่า" เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาที่เป็นอยู่ แล้ววางตำแหน่งตัวเองเป็น World Central Bank หรืออภิมหาธนาคารกลางของโลกมนุษย์ใบนี้ ซี่งถ้าคุณไม่เข้าใจ คุณจะมองวิกฤติไม่ออกครับหรือตีมันไม่แตก การเตรียมความพร้อมก็จะไม่เกิด ยิ่งถ้าจะพูดกันถึงการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสอันนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หรือจะว่าไปแล้วก็เปรียบได้กับคนป่วยคนหนึ่งที่มีโรครุมเร้าอยู่สารพัด แต่ไม่ "เชื่อ" ว่าตัวเองป่วย แต่กลับบอกว่าตัวเองไม่ได้ป่วย ยังแข็งแรงดี เพราะยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว จีงไม่มีการตรวจหาสาเหตุหรือดูแลรักษาเกิดขึ้น หรือป้องกันที่จะไม่ให้มีโรคใหม่ๆแทรกซ้อนตามมานั่นเองครับ แล้วก็เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่เหมือนคนปกติ จนในที่สุดโรคร้ายเหล่านั้นกัดกินอวัยวะต่างๆของร่างกาย จนกระทั่งทั้งระบบบางส่วนต้องหยุดทำงานลง แล้วด้วยระบบร่างกายทั้งหมดที่เชื่อมต่อกัน ก็ส่งผลให้ทั้งระบบร่างกายหยุดทำงาน หรือก็คือ "ตาย" ลงในที่สุด

"เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง"

ผมอยากให้ผู้อ่านทุกท่าน "สลัก" ประโยคนี้ไว้ในใจครับ แค่เขียนอย่างเดียวอาจจลบเลือนไปได้ แต่ถ้าสลักไว้แล้วคงจะอยู่ทนนานครับ และประโยคนี้ก็คือคำถามของคำตอบที่ว่าถ้าไม่มีทุนจะซื้อทองคำหรือแร่เงินจะต้องเตรียมตัวอย่างไร " ปัจจัย 4 " ครับ คือคำตอบที่ตรงไปตรงมา ในสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่การเตรียมพร้อมในเรื่องปัจจัย  4 เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ซึ่งมากกว่าทองคำและเงินซะอีก คือการมีอาหารและน้ำดื่มที่สะอาดเพียงพอ และปัจจัย 4 ที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ส่วนที่เหลืออื่นๆ พระเจ้าท่านทรงประทานไว้ให้หมดแล้วครับ แต่อยากจะให้คิดไปอีกหน่อยว่า จริงๆแล้วท่านสร้างและประทานไว้ให้หมดแล้วล่ะครับ 

แต่กลับเป็นมนุษย์เองที่ทำลายสิ่งเหล่านั้น บุกรุกพื้นที่ที่เป็นแหล่งอาหาร ทำลายสิ่งเหล่านั้นเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง บุกรุกทำลายป่า ระเบิดภูเขาที่ทรงสร้างไว้ให้เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร เพราะฉะนั้นคงต้องหาเองครับ และในวันเวลาแห่งความยากลำบากเหล่านั้นต้องมีครับ ต้องเตรียมให้พร้อมด้วยตนเอง ยืนอยู่บนขาของตัวเอง อย่างหวังพึ่งคนอื่นหรือรอรัฐบาล หรือหน่วยงานใดๆ ครับ เพราะเกือบทุกคนก็ต้องการดิ้นรนที่จะมีชีวิตรอดเหมือนกันหมด และคนที่จะยอมเสียสละตนเองเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ซึ่ง "มี" ครับแต่น้อยและจะไม่เพียงพอในวันเวลาแห่งความยากลำบากเหล่านั้น 

คงจะยังไม่ใช่วันนี้หรือวันพรุ่งนี้ครับที่สิ่งต่างๆเหล่านี้จะเกิดขึ้น แต่ผมก็จะให้เป็นแนวทางไว้ อ่านสัญญานต่างๆ ที่ส่งออกมาครับ ติดตามข่าวสาร เราต้องรู้ลึก รู้เร็ว และรู้ก่อน เพื่อที่จะเตรียมพร้อม ไม่ต้องไปแก่งแย่งแข่งขัน  ฉกชิงวิ่งราว เพื่อที่จะไม่ต้องแย่งซื้อหาสิ่งเหล่านั้นกัน ส่วนข้อมูลเรื่องทองคำและเงินก็คงหาได้จากบล๊อกนี้หรือที่อื่นๆครับ แต่ที่ผมเห็นโดยส่วนใหญ่จะเน้นไปในทิศทางของการเก็งกำไรหรือทำกำไรซะโดยส่วนใหญ่ แต่ผมจะขอเน้นย้ำว่า การลงทุนหรือการเข้าซื้อในช่วงเวลาต่อไปนี้ ขอให้ท่านมุ่งไปที่ "การป้องกันความเสี่ยง" จากการล้มตัวของสกุลเงินต่างๆ ที่จะลากเอาเศรษฐกิจพ่วงตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากครับ 

***เน้นการป้องกันความเสี่ยงมากกว่าการเก็งกำไร ซื้อๆขายๆ หรือการทำ Day Trade  

ปี 2011 นี้จะเป็นที่สหรัฐและโลกตะวันตกทรุดหนักลงอีกมาก และมีความเป็นไปได้ที่จะล้มลงในช่วงครึ่งหลังของปี หรือเต็มที่ก็ไม่น่าจะเกินกลางปี 2012 เพื่อที่จะผลักให้โลกไม่มีทางเลือก และต้องยอมรับสิ่งใหม่ที่ถูกจัดเตรียมไว้ หรือ New Order หรือวาระใหม่ของโลกในเกือบจะทุกด้าน หรือที่เรารู้จักกันในนาม  New World Order อย่างที่ผู้นำชาติตะวันตกเกือบจะทุกชาติโดยเฉพาะสหรัฐ อังกฤษและฝรั่งเศษพยายามเรียกร้องให้มีนั่นเอง

หลังจากการล้มตัวของทางตะวันตกแล้ว โลกก็จะเข้าสู่ Chaos หรือยุคมืดหรือยุคแห่งความสับสนวุ่นวายครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เกือบจะทุกๆด้าน ทั้งการเงิน เศรษฐกิจ การก่อการร้าย ภัยภิบัติใหญ่ๆและสงคราม ซึ่งและจะกินเวลา 3 ปีครึ่งถึง 7 ปีเป็นอย่างน้อย และความเสียหายต่างๆที่ประเมิณค่าไม่ได้จะตามมาอย่างมหาศาล ซึ่งผมจะเขียนในตอนต่อๆไปครับ 

The Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook
http://www.facebook.com/home.php?sk=group_170408246326805&ap=1