Disclaimer : สิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่ เป็น "ความเชื่อส่วนบุคคล" ครับ ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ความเชื่อ เศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ การเมือง และอริยธรรมของมนุษย์ ในการการศึกษาค้นคว้าของผู้เขียน ความคิดต่าง เห็นต่าง ขอให้เป็นดุลยพินิจของท่านผู้อ่านครับ.......
ตั้งแต่เกิดวิกฤติการเศรษกิจของสหรัฐ เมื่อปลายปี 2008 เกิดการเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบที่ผมจะเรียกว่า "Economic Shock Wave" หรือก็คือคลื่นพลังที่หยุดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอย่างฉับพลัน และฉุดให้โลกทั้งใบเข้าสู่บ่วงหนี้ ผ่านทางการประชุม G20 ภายใต้แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการ "อัดเงิน" หรือจะเรียกอย่างสวยหรูว่า การอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ ซึ่งประเทศน้อยใหญ่ก็น้อบรับไปปฏิบัติแต่โดยดี เพราะโครงสร้างและทิศทางเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศในระบบทุนนิยมซึ่งไม่ต่างกันมาก
ตั้งแต่เกิดวิกฤติการเศรษกิจของสหรัฐ เมื่อปลายปี 2008 เกิดการเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบที่ผมจะเรียกว่า "Economic Shock Wave" หรือก็คือคลื่นพลังที่หยุดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอย่างฉับพลัน และฉุดให้โลกทั้งใบเข้าสู่บ่วงหนี้ ผ่านทางการประชุม G20 ภายใต้แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการ "อัดเงิน" หรือจะเรียกอย่างสวยหรูว่า การอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ ซึ่งประเทศน้อยใหญ่ก็น้อบรับไปปฏิบัติแต่โดยดี เพราะโครงสร้างและทิศทางเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศในระบบทุนนิยมซึ่งไม่ต่างกันมาก
ซึ่งเราลืมกันไปครับว่าประเทศน้อยใหญ่ทั่วโลกที่จะทำอย่างนั้นได้ ต้องทำด้วยการระดมกู้ยืมเงินจากนอกประเทศบ้างในประเทศบ้างเพื่ออัดเข้าสู่ระบบ แต่วิกฤติการครั้งนี้ต่างออกไป เพราะต้นตอของวิกฤติเกิดขึ้นกับประเทศใหญ่ๆในโลกตะวันตก โดยเฉพาะเป็นประเทศที่ไม่ได้ผูกระบบระบบการเงินของตัวเองไว้กับทองคำหรือสินทรัพย์ใดๆ นั่นก็คือ สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ซึ่งค่าเงินของประเทศดังกล่าวถูกผูกไว้กับ "ความเชื่อมั่น" ล้วนๆ ครับ ก็คือใช้ความเชื่อมั่นเหล่านี้เป็นทุนในการพิมพ์กระดาษเหล่านี้ออกมาเพื่อเป็น "เงินตรา" แล้วใช้หมุนเวียนในตลาด
แต่ปัญหาก็คือ "สหรัฐ" ซึ่งมีฐานอำนาจโดยมีเงินดอลล่าซึ่งเป็นเงินสกุลกลางและสกุลหลักของโลก ที่ถูกเก็บเป็นเงินคงคลังของรัฐบาลต่างๆทั่วโลก มาตลอดเกือบ 40 ปี และเชื่อมโยงระบบการค้าโลกทั้งหมดเข้าด้วยกันด้วย "เงินดอลล่า" บนความเชื่อที่เปรียบเงินดอลล่าได้กับทองคำ แต่ทั้งหมดก็ยังอยู่บนความเชื่อมั่นอยู่ดีครับ แต่.....
ถ้าเมื่อไหร่ที่ "ความเชื่อมั่น" ในเงินดอลล่า "สิ้นสลาย" ลง ก็เท่ากับเงินดอลล่าเหล่านั้นจะกลายเป็นกระดาษในพริบตา เรามาดูสถานการณ์ที่ประกอบกันขึ้นเป็นความเชื่อมั่นต่อเงินสกุลนี้ครับ ว่าอยู่ในสภาพไหนแล้ว
1.เป็นลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีหนี้โดยรวมของประเทศหรือ Outstanding Debt อยู่ที่ 13.989 Trillion หรือคิดเป็น 90% ของ GDP และจะแตะ 14 Trillion ในเดือนมกราคมของปี 2011
2.เป็นหนี้ที่เกิดจากงบประมาณหรือภาระผูกพันธ์ต่อคนอเมริกันผ่านทางโครงการ Welfare ต่างๆ หรือที่เรียกว่า Unfunded Liability ของรัฐบาล อีกอย่างน้อย 75 Trillion ที่จะต้องจ่ายออกอย่างต่อเนื่องในอนาคต ให้กับผู้ใช้สิทธิ์ที่รัฐบาลเกิบเงินเข้ากองทุนไว้แล้ว
3.สภาวะการว่างงาน U6 ที่พุ่งขึ้นสูงแตะระดับ 17% และสูงถึง 22-25% ในบางรัฐ
4.อันเนื่องมาจากการ Outsourcing หรือการย้ายฐานการผลิตไปที่ประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ทีมีค่าแรงงานที่ถูกกว่า ทำให้ประเทศเหล่านั้นกลายเป็น Emerging Market หรือประเทศเศรษฐกิจใหม่ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีราคาถูกกว่า แต่สิ่งนี้กลับเป็นผลสะท้อนกลับไปที่ตลาดแรงงานของสหรัฐอย่างรุนแรงเช่นกัน จนคำว่า "Made in USA" แทบจะหาไม่ได้บนชั้นสินค้าที่วางขายอยู่ในสหรัฐ
5. ตัวเลขของคนอเมริกันที่กำลังฝากท้องไว้กับโปรแกรมคูปองอาหาร หรือ Food Stamp ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแตะที่ละดับ 42 ล้านคน หรือ 1 ใน 7 ของคนอเมริกันฝากชีวิตไว้กับโปรแกรม Food Stamp นี้
6.Extend Unemployment Benefit หรือการขยายเงินชดเชยการว่างงานเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 2 ปี ให้กับผู้ใช้สิทธิ์เรียกร้องเงินส่วนนี้ ซึ่งสิ้นสุดระยะเวลาของเงินชดเชยลงแล้ว จาก 99 สัปดาห์ หรือที่เรียกกันว่า "กลุ่ม 99ers" (ไนตี้ไนเนอร์) และมีที่ท่าว่าคองเกรสจะตัดลดเงินส่วนนี้ในที่สุด
7.Poverty Line หรือเส้นแบ่งระดับความยากจนของสหรัฐลดต่ำลงเรื่อยๆ แต่ฐานกลับกว้างขึ้นเรื่อยๆ ก็คือคนอเมริกันเข้าสู่ภาวะยากจนเพิ่มมากขึ้น
8.สถาบันการเงินที่ล้มไปแล้วกว่า 300 แห่ง และมีอีก 920 แห่ง(อย่างไม่เป็นทางการ)ที่กำลังเข้าสู่สภาวะล้มละลาย
9.ราคาอสังหาริมทรัพย์เฉลี่ยที่ปรับตัวลงไปแล้วกว่า 50 % และยังคงปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องเพราะดีมานด์ที่ขาดหายไปในตลาด เนื่องจากปัญหาการว่างงานที่พุ่งขึ้นสูง
10.อัตราการฟ้องยึดบ้านและที่อยู่อาศัยพุ่งขึ้นสูงสุดต่อเนื่องติดกันในรอบหลายสิบปี
11.การล้มละลายของ Commercial Real Estate Lender หรือสถาบันการเงินขนาดยักษ์ ที่ปล่อยกู้ให้กลุ่มค้าปลีกหรือห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่จะเป็นปัญหาใหญ่มากต่อภาคธนาคาร ที่ยังถูกซุกไว้ใต้พรมมาจนถึงวันนี้
12.รัฐที่ล้มเหลว หรือรัฐต่างๆ ที่เข้าสู่สภาวะล้มละลายในทางงบประมาณแล้ว 10-12 รัฐ และอีก 40 รัฐที่กำลังประสบปัญหาเดียวกันในระดับความรุนแรงที่ต่างกันไป
13.ฟองสบู่ตลาดหุ่นสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นถึง 70% ในระยะเวลาเพียง 2 ปี ด้วยการ "Bailed Out" หรือเงินอุ้ม ที่มาจากฟากรัฐบาล โดยที่เงินดังกล่าวเกือบทั้งหมดยังคงติดค้างเป็น "กับดักสภาพคล่อง" อยู่ในสถาบันการเงินเหล่านั้น โดยไม่มีการปล่อยกู้ต่อลงมาสู่ตลาดด้วยความกังวลปัญหาของหนี้เสียและการรักษาทุนสำรองเงินฝากของธนาคาร หรือ Tier ต่างๆ
14.งบประมาณขาดดุลย์ของรัฐบาลสหรัฐที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากงบประมาณรายจ่ายต่างๆที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการสงครามและการทหารซึ่งถูกใช้ไปแล้ว 60-65% ของงบประมาณรัฐบาลในภาพรวม
15.ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐชนิด 10 และ 30 ปี พุ่งขึ้น โดยเฉพาะพันธบัตรชนิด 10 ปี พุ่งขึ้นสุงสุดในรอบ 20 ปี นับจากปี 1988 เป็นต้นมา อยู่ที่ระดับ 3.5xx
16.บริษัทจัดอันดับเครดิตจ้องจะหั่นเครดิคเรตติ้งของสหรัฐลง เนื่องจากปัญหาหนี้สินที่กำลังจะพุ่งขึ้นสู่ระดับ 90% ของ GDP
17.การทำ Quantitative Easing หรือการผ่องถ่ายเชิงปริมาณ หรือจะเรียกให้ตรงๆ เลยก็คือ การพิมพ์เงิน ออกมาใช้จ่ายนั่นแหละครับ และคงต้องทำอย่างต่อเนื่อง อีกไม่นานคงจะประมาณ เดือน 4-5 ของปี 2011 FED คงจะต้องเริ่มพูดถึงเรื่องนี้ หรือ QE3 นั่นเองครับ
18.อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การปกปิดของรัฐบาลสหรัฐ และมีทิศทางที่จะนำไปสู่ Hyper Inflation หรือสภาวะเงินเฟ้อยิ่งยวด ที่อาจจะเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในปี 2012-2015 แต่ดูเหมือนอาจจะเร็วกว่านั้นครับ คือเริ่ม Kick In หรือเริ่มต้นประมาณไตรมาส 2 หรือ 3 ของปี 2011 เป็นอย่างเร็วครับ
ทั้งหมดนี้เป็น Under Lying Diseases หรือเชื้อร้ายที่กัดกินสหรัฐอเมริกาอยู่ในขณะนี้ คำถามคือ "ความเชื่อมั่น" ของเงินดอลล่าสหรัฐอยู่ที่ตรงไหน แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป
ในทางลึก การทหารและกฏหมายรองรับทุกอย่างถูกเตรียมไว้เรียบร้อยทั้งหมดแล้วครับ เพื่อรองรับการ Collapse หรือการล้มของเศรษฐกิจสหรัฐ และเงินดอลล่า นักเศรษฐศาสตร์ นักการเงิน นักวิเคราะห์ หรือแม้แต่โบร๊คเกอร์ในตลาดโลหะมีค่า ที่ตรงไปมาคือไม่เอียงข้างหรือฝักไฝ่รัฐบาล จะพูดในลักษณะฟันธง ตรงกันว่า "Collapse is Imminent" หรือการ "ล้ม" คงจะหลีกเลี่ยงได้ยากครับ
หลายๆ ท่านคงรู้จัก Jim Sinclair หรือ Mr.Gold ที่เรียกว่าเป็นเซียนมือเก๋าคนหนึ่งในตลาด Precious Metal ของสหรัฐ ทุกวันนี้ไม่ว่าแกจะเดินทางไปไหน แกจะต้องพก "เหรียญทองคำ" ติดตัวไว้ไม่ต่ำกว่า 20 เหรียญ โดยแกให้เหตุผล โดยแกคิดว่า "Flash Collapse" หรือการล้มตัวแบบฉับพลันของสหรัฐจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเงินกระดาษบัตรเครดิตทุกอย่างก็จะหยุดทำงานในทันที ซึ่งผมอ่านแล้วก็คิดในใจว่า แกเป็นขนาดนั้นเลยหรือ แต่ในความเป็นจริงแกน่ะ "ถูก" ครับ คนยิ่งรู้มากก็ยิ่งกลัวยิ่งระวังมาก ซึ่งถ้าผมอยู่ในสหรัฐตอนนี้ ก็คงนึกภาพตัวเองไม่ออกครับ ว่าจะต้องเตรียมอะไรขนาดไหน เพราะคนที่อยู่วงในที่มีข้อมูลลึกๆเค้าเตรียมสำรองอาหารและน้ำดื่มไว้อย่างน้อย 6 เดือน เตรียมทุกอย่างในลักษณะ HIGH ALERT กันแล้วครับ จึงจะฝากไปถึงเพื่อนๆผู้อ่านในสหรัฐ แคนาดาและกลุ่มสหภาพยุโรปครับว่า
หลายๆ ท่านคงรู้จัก Jim Sinclair หรือ Mr.Gold ที่เรียกว่าเป็นเซียนมือเก๋าคนหนึ่งในตลาด Precious Metal ของสหรัฐ ทุกวันนี้ไม่ว่าแกจะเดินทางไปไหน แกจะต้องพก "เหรียญทองคำ" ติดตัวไว้ไม่ต่ำกว่า 20 เหรียญ โดยแกให้เหตุผล โดยแกคิดว่า "Flash Collapse" หรือการล้มตัวแบบฉับพลันของสหรัฐจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเงินกระดาษบัตรเครดิตทุกอย่างก็จะหยุดทำงานในทันที ซึ่งผมอ่านแล้วก็คิดในใจว่า แกเป็นขนาดนั้นเลยหรือ แต่ในความเป็นจริงแกน่ะ "ถูก" ครับ คนยิ่งรู้มากก็ยิ่งกลัวยิ่งระวังมาก ซึ่งถ้าผมอยู่ในสหรัฐตอนนี้ ก็คงนึกภาพตัวเองไม่ออกครับ ว่าจะต้องเตรียมอะไรขนาดไหน เพราะคนที่อยู่วงในที่มีข้อมูลลึกๆเค้าเตรียมสำรองอาหารและน้ำดื่มไว้อย่างน้อย 6 เดือน เตรียมทุกอย่างในลักษณะ HIGH ALERT กันแล้วครับ จึงจะฝากไปถึงเพื่อนๆผู้อ่านในสหรัฐ แคนาดาและกลุ่มสหภาพยุโรปครับว่า
******* PREPARE NOW *******
ถ้าท่านยังอยู่ในสหรัฐในตอนนี้อาจจะสังเกตุเห็นการเคลื่อนกำลังทางทหารในลักษณะที่ไม่เคยมีมาก่อนเกิดขึ้นทั่วสหรัฐครับ โดยเฉพาะการขนย้ายยุทโธปกรณ์หรืออาวุธต่างๆ ด้วยรถไฟ ซึ่งปกติ โดยรัฐธรรมนูญสหรัฐ ทหาร หรือ Military แทบจะไม่สิทธิ์เหยียบ American Soil หรือแผ่นดินตัวเอง เพราะต้องทำสงครามนอกบ้านกันหมด แต่ครั้งนี้ต่างออกไปครับ
ตั้งแต่ออกจากสหรัฐผมพยายามศึกษาและเก็บข้อมูล Sequence หรือลำดับเวลาของการ "ล้ม" ของเศรษฐกิจสหรัฐ ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน โดยการอ้างอิง 18 ข้อข้างต้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเท่านั้นครับ ซึ่งเกือบทุกประเด็นเชื่อมต่อกันหมด จะแตะตรงไหนก่อนที่เหลือก็จะตามไปในลักษณะโดมิโน่ได้ไม่ยากเลย
ผมเชื่อว่า การศึกษา Sequence ของการล้มมันคุ้มค่าต่อการทุ่มเวลาหรือการลงทุนครับ เพราะมันจะเป็นวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ของโลก แต่ในทางกลับกันมันจะเป็นโอกาสของคนหลายๆ คนที่มองเห็น ก็คือผมกำลังรอที่จะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสอยู่นั่นเองครับ คือยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่ใหญ่และตื่นเต้นมาก ถ้าคุณต่อทุกอย่างจนติดแล้วจะเข้าใจครับ และผมเชื่อว่าคงมีอีกหลายๆ คนที่คิดเหมือนกัน สำหรับผมตอนนี้ก็พร้อมในระดับหนึ่งครับ เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องของการทำมาหากินหรือความโลภแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นผมคงเก็บไว้คนเดียว ไม่ต้องมาแบ่งปันนั่งพิมพ์เพื่อบอกเล่าเรื่องเหล่านี้เพื่อเตือนผู้คนอีกมากมายครับ และทุกอย่างคุณก็ได้เห็นกับตาตัวเองเกือบทั้งหมดแล้ว เพราะฉะนั้นเชื่อตัวคุณเองเถอะครับ ไม่ต้องเชื่อใครหรืออะไรที่ดูน่าเชื่อถือ เชื่อการศึกษาค้นคว้าของตัวคุณเอง
โดย Sequence ต่างๆ ที่คุณพัฒนาขึ้นมามันจะเป็นสัญญานเตือนภัยให้กับคุณครับว่าเมื่อไหร่จะต้องทำอะไร และที่ไหน ต้องดูอะไรเป็นสัญญาน ก็ไม่ต่างอะไรจากสัญญานเตือนภัยซึนามิ แต่วันนี้ไม่มีใครมีครับ เพราะทุกคนต้องทำเอาเอง
ถ้าใครที่ฟังสัมนาเรื่องภัยภิบัติเมื่อวานนี้ เรื่องนี้ก็ไม่ต่างไปจากเรื่อง "ซึนามิ" ของอาจารย์สมิธ ธรรมสโรชครับ แต่ลูกนี้ "เงาดำทมิฬ" มารออยู่ที่ปลายขอบฟ้าแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาคิดครับว่ามันจะเกิดหรือไม่เกิด ถ้าลงมือตอนนี้ยังเตรียมตัวยังเก็บข้าวของทัน ถึงเวลาก็วิ่งหรือจะลุยก็ได้เลยครับ หรือจะรอดูให้ชัดอีกหน่อยก็ไม่ว่ากัน เมื่อวันก่อนผมเข้าไปดูข้อมูลเวบหุ้นเวบหนึ่งครับ ก็มีการนำบทความของผมบางส่วนไปลง และมีอยู่ความเห็นนึงน่าสนใจครับ คือเค้าบอกว่า
"โอ๊ย มันจะล้มได้ยังไง ทั้งยูโร ทั้งดอลล่า เพราะเป็นเงินคงคลังของรัฐบาลทั่วโลกทั้งหมด ถ้าล้มก็ล้มกันหมดทั่วโลก มันไม่เกิดขึ้นหรอก ต้นเรื่องคงจะสติเฟื่องไปเอง".....555555 อันหลังนี่ผมหัวเราะเองครับ
นี่แหละครับคนเราก็เป็นอย่างนี้ ผมก็เลยเขียนลึกลงไปในรายละเอียดอีกซักหน่อย เพราะเสียดายครับ เพราะถ้าคุณเรียกตัวเองว่าเป็นนักลงทุนแต่คุณไม่รู้ข้อมูลเหล่านี้ แต่กลับคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก แล้วยังเล่นหุ้นอีก ก็คือคุณกำลัง "เล่นกับไฟ" ครับ ซึ่งตอนแรกผมก็เข้าใจว่าจะมีแต่คนอเมริกันเท่านั้นที่คิดอย่างนี้ ถ้าเกิดขึ้นแล้ว รับรองว่าคงเหนื่อยหนักครับ.......
The Gold War Phase II.
http://www.facebook.com/
สุดยอดครับ ข้อมูลแน่นตลอดเลยนะคร้าบ กระพ้มเป็นกำลังใจให้ครับ คุณจิม ;D
ตอบลบ"โอ๊ย มันจะล้มได้ยังไง ทั้งยูโร ทั้งดอลล่า เพราะเป็นเงินคงคลังของรัฐบาลทั่วโลกทั้งหมด ถ้าล้มก็ล้มกันหมดทั่วโลก มันไม่เกิดขึ้นหรอก ต้นเรื่องคงจะสติเฟื่องไปเอง".....555555 อันหลังนี่ผมหัวเราะเองครับ
ตอบลบนี่ แหละครับคนเราก็เป็นอย่างนี้
5555555555+ หัวเราด้วยคนครับคุณจิม คนเราก็เป็นอย่างนี้จริง ๆ ผมเพิ่งเจอมากะตัวเลยเมื่อกี้ คุณจิมมี่ลองดูนี่จิครับ ผมไปโพสต์เรื่องลำดับขั้นของเทวดาในคริสต์ศาสนา แต่ดันเจอผู้รู้จริงเบรกผมซะหัวทิ่มเลย แถมยั่งว่ากระผมส่งท้ายอีก ดูซิ เหะ ๆๆ คนเรา (:_;)
http://board.palungjit.com/f2/ในที่สุดเราก็พบเมตตาทรอน-272213.html
หน้า 1-2 อ่ะครับ ;)
เม้นต์นี้เป็นความเชื่อส่วนบุุคคลนะครับ
ตอบลบเมื่อ 2 ปีก่อน พระเจ้าเร้าใจผมให้นึกถึงเรื่องกลับบ้านนอก
ตอนนั้นยังไม่เข้าใจแต่ก็เตรียมตัวมาเรื่อยๆ
จนมาเจอเวปนี้ ก็ได้เข้าใจมากขึ้น
ขอบคุณพี่จิมมากครับ
อย่างที่ผมเคยบอกไว้ครับว่า
ตอบลบ"พระเจ้าไม่เคยทิ้งคนของพระองค์ มีแต่คนของพระองค์เท่านั้นที่ทิ้งพระเจ้า"
"ผมถูกเรียกให้ออกจากสหรัฐครับ ให้กลับไปช่วยคนของยู ให้ซื้อทองคำ" ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่และจะเสียหายมากในด้านโครงสร้างธุรกิจ จนเกือบจะทุกอย่างบีบให้กลับในที่สุด แต่ก็ยังไม่ยอมครับ ด้วยความดื้อบวกกับเสียดายสิ่งที่ผมทุ่มเทสร้างมันมา 7 ปี
แล้วพระองค์ก็แสดงหลายๆ อย่างให้ผมเห็นในเวลาเพียง 2-3 สัปดาห์ เครียดสุดๆครับ นอนวันละ 2-4 ชั่วโมงเพื่อหาคำตอบ เดี้ยงไปอีก 1 อาทิตย์
ข้อมูลข่าวสารเข้ามาทุกด้าน เพื่อนฝรั่งก็ห่วงเราแนะนำว่ายูควรจะปิดรับข้อมูลข่าวสารทั้งหมด ผมก็เชื่อครับไม่ค้น ไม่หา ไม่ดูเลย ก็เลยว่างครับ คิดว่าเราดูทีวีเพื่อผ่อนคลายดีกว่า เปิดปั๊บไปเจอพี่จอร์จ บูช กำลังให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าเกิดโรคระบาดร้ายแรง เค้าก็ต้องทำตามขั้นตอนที่วางไว้โดยเริ่มจากการประกาศ Martial Law แล้วล๊อคทุกอย่างทุกระบบรวมทั้ง "สนามบิน" ก็เลยต้องปิด ไม่ดูต่อครับ สงสัยจะมาทางเคเบิ้ลทีวีอีก วันต่อมาไม่มีอะไรทำครับเพราะหิมะกำลังลงหนักออกไปไหนก็ไม่ได้ เลยเปิดทีวีดูใหม่ ทีนี้ข่าวกำลังจับ Bernard Madoff คนที่โกงเงินผู้ลงทุนไปหลายๆพันล้านเหรียญนั่นแหละครับ เป็นสารคดียาวเลยครับ แล้วก็โยงไปถึงกลุ่ม NWO ในตลาดหุ้นสหรัฐ เรื่องนี้ก็ส่งกลับไปหาข้อมูลที่ได้เคยรับมาอีกเลยนั่งดูจนจบครับ
พออีกวันก็เปิดมาเจอเรื่องโครงการ "Echelon" ของรัฐบาลสหรัฐหรือที่เรียกๆกันเล่นๆว่า "Big Brother" อีก เหมือนกันเป็นการยืนยันในข้อมูลที่เราได้ต่อภาพไว้ เลยไม่ได้ดูอะไรที่ผ่อนคลายเลยครับ ออกจากบ้านก็ไม่ได้อีก จะออกไปขับรถเล่นก็สงสัยจะได้ชนกันอยู่บนถนนนั่นแหละครับ
จนในที่สุดได้รับ Message หนึ่งว่า "เวลาของยูหมดแล้ว"...คิดแล้วเผ่นดีกว่าครับ มาแรงขนาดนี้ถ้ายังดื้ออยู่สงสัยจะได้ตายที่นี่ เลยได้เวลาแพ๊คของกลับบ้านซะทีครับ
ช่วงตอนที่กำลังแพ๊คของ ก็ส่งเงินกลับบ้านประมาณว่าโลกจะถล่ม แล้วสั่งให้ทางนี้ซื้อทองเก็บเลย ซึ่งโดยนิสัยส่วนตัวผมรู้สึกเฉยๆ กับทองคำครับ เพราะถ้าคุณอยู่ในสหรัฐแล้วคุณใส่ทองแส้นใหญ่ๆ เหมือนตอนอยู่เมืองไทย จะเกิดสองสิ่งกับคุณคือ 1 คือคุณ "บ้า" เพราะค่านิยมของอเมริกันเค้าไม่ใส่เส้น 2-3-5-10 บาทกัน 2.เป็นเป้าของพวกผิวดำที่รักทองคำเป็นชีวิตจิตใจ โดยการคล้องโซ่ครับ อย่างที่เราเห็นในมิวสิควีดีโอต่างๆ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณใส่สร้อยเส้นใหญ่ๆ คุณจะกลายเป็น "ตัวประหลาด" ทันที
มกราคา 2009 ราคาทองคำอยู่ที่ 14,100-14,200 / บาทครับ Spot $870-$950 ที่บ้านก็ตั้งตัวไม่ทัน คิดว่าผมคงเพี้ยนไปแล้ว ที่ให้เค้าแบกเงินไปซื้อทองแท่งขนาดนั้นโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ เพราะจัดแพ๊คของก็เหนื่อยพออยู่แล้วถ้าต้องมาอธิบายอีกก็คงไม่ไหวครับ แต่ก็ไปทำกันอย่างสนุกสนานครับ.....5555
แล้วต้องเดินทางกลางฤดูหนาวอย่างนั้น ผมลืมบอกไปครับว่าผมอยู่บนเกาะแถบทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ ลงมาทางตอนใต้ของแคนาดานิดหน่อย เอาเป็นว่าออกมาจากบอสตัน 90 ไมล์ครับแล้วลงเรือข้ามไปต่อ
หลังจากที่กลับมาถึงเมืองไทย 2 เดือน ไข้หวัด 2009 ก็ระบาดโจมตีไปทั่วโลกอยู่ 1 ปีครับ และระบาดไปทั่วสหรัฐในอัตราที่รวดเร็ว ตอนแรงผมนึกว่าจะ "จบแล้ว" เพราะยังไม่ทันกลับมาตั้งตัว ตั้งหลักเลย ปีที่เป็นข่าวรุนแรง แล้วรายงานตัวเลขในหน้า นสพ. ทุกวันแทบจะป็นรายชั่วโมงนั่นแหละครับ ถ้ายังจำกันได้
ก็เป็นประสบการณ์จริงๆ ที่ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยมากช่วงหนึ่งของชีวิตทีเดียวครับ มีเด็ดกว่านี้ครับ เอาไว้วันหลังเล่าต่อ ประมาณว่าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ประมาณนั้นเลยครับ....
ได้โปรดเล่าต่อค่ะ ได้โปรดเถิด รออ่านค่ะ ขอบคุณที่แชร์ให้ฟัง
ตอบลบ3am
รออ่านด้วยอีกคน ^^
ตอบลบรออ่านอยู่นะคะ โดยเฉพาะเรื่องเด็ด.... ขอบคุณค่ะ
ตอบลบThai_ca