วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประเด็นร้อนๆ.......Oil Rig update 1

ข้อมูลอัพเดตที่น่าสนใจและเส้นทางของคราบน้ำมันที่จะเคลื่อนตัวไปตามกระแสน้ำอุ่นในมหาสมุทรแอตแลนติค ที่จะเข้าปะทะชายฝั่งฟลอริดาก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่ชายฝั่งด้านตะวันออกของสหรัฐ "ทั้งแถบ" ถ้าเค้าจะยังคงยืนยันว่าไม่สามารถอุดรอยรั่วที่ก้นอ่าวแม็กซิโกได้ ด้านขวาหรือด้านตะวันออกของสหรัฐของสหรัฐคงโดนทั้งหมด ซึ่งความเสียหายคงขึ้นอยู่กับประมาณน้ำมันที่รั่วไหลออกไปว่ามากน้อยขนาดไหน ประกอบกับฤดูเฮอริเคนที่จะเริ่มต้นในช่วงปลายฤดูร้อนต่อฤดูหนาวก็จะพัดพาคราบน้ำมันเหล่านี้ขึ้นสู่ฝั่งและสร้างความเสียหายได้อย่างเต็มที่ครับ 

และเพียง 4 วันแรกของการรั่วไหลของน้ำมันครั้งนี้ ก็ทำลายสถิติการรั่วไหลของน้ำมันในทุกครั้งที่เคยมีมา หรือเคยจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกครับ  ก็คือเป็นการรั่วไหลของน้ำมันสู่ทะเลครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลกนั่นเอง

หมายเหตุ : เหตุการณ์ Oil Rig หรือ Oil Spill นี้ เป็นไพ่อีกใบหรืออีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่ในเกมส์ไพ่อิลลูมินาติอย่างชัดเจนเป็นเวลากว่า 15 ปีแล้วครับ ***คลิก!!!





อัพเดตข้อมูลข่าวสาร.......โพสต์นี้เลยครับ

โพสต์นี้เปิดไว้เพื่อให้เพื่อนๆได้ฝากข่าวสาร ข้อมูลและ Update ความเคลื่อนไหวของราคาทองคำ  รวมทั้งความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมโลกที่จะส่งผลกับเราในอนาคต   

โพสต์นี้จะ ถูกส่งขึ้นมาโดยอัตโนมัติในทุกวันทำการของตลาดครับ.......

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Gold Technical Analysis.......

Commitment of Traders ( COT Report May 25, 2010 )

GOLD - COMMODITY EXCHANGE INC.
CFTC Commitment of Traders  
*Combined Futures and Options*May 28, 2010
Reportable Positions as of 05/25/2010 Non- Reportable Positions
Speculators Commercial Total
Long Short Spreading Long Short Long Short Long Short
279,456 26,126 196,880 222,801 518,900 699,137 741,906 77,539 34,770

Changes from last report - Change in Open Interest: -59,338
-17,621 3,817 -8,509 -26,332 -54,531 -52,462 -59,222 -6,877 -116

Percent of Open Interest for each category of traders
36.0 3.4 25.3 28.7 66.8 90.0 95.5 10.0 4.5

Number of traders in each category; Total Traders: 363
219 61 116 51 62 314 203    
(CONTRACTS OF 100 TROY OUNCES) Open Interest: 776,675

ระดมความคิดแก้วิกฤติชาติ..." 7/7 เมื่อถึงวันสิ้นชาติ ไม่มีโอกาสแก้ตัว "

มันมากับความมืด ???

จากการติดตามเหตุการณ์ของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทยฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๐ อย่างต่อเนื่องตลอดมา มีสิ่งที่มหัศจรรย์ที่ไม่ธรรมดา อันเกิดขึ้นในบ้านนี้เมืองนี้ อันเป็นประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของผม คือสยามประเทศนี้ที่ว่า ประชาชนและรัฐสภาได้ยอมรับรัฐธรรมนูญอันมีบ่อเกิดมาจากความขัดแย้งทางความ คิดอย่างรุนแรงในระหว่างประชน การกำจัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เกิดขบวนการที่เป็นรูปธรรมจากประธานร่างรัฐธรรมนูญ ปลุกกระแสบีบคั้นขู่เข็ญรัฐสภาให้รับร่างรัฐธรรมนูญ จนถึงขนาดสร้างสถานการณ์ยุยงส่งเสริม ร่วมกันกับ NGO ที่ได้วางแผนจัดตั้ง ไว้แต่ปี พ.ศ.๒๕๓๕ ก่อความไม่สงบภายในประเทศเฉียดฉิวใกล้ภาวการณ์นองเลือด ทำให้รัฐสภาไม่มีความเป็นอิสระในการใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ดังกล่าว และในที่สุดต้องประกาศรับรัฐธรรมนูญนี้ด้วยภาวะภายใต้การข่มขู่จากขบวนการต่าง ๆ มันเป็นไปได้อย่างไร ในยุคสมัยแห่งความเจริญของประชาชาติไทย อันได้รับการพัฒนาวัฒนธรรมและการศึกษามาเป็นระยะเวลายาวนาน แน่นอนที่สุดต้องมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและโดยธรรมดา ซึ่งเหตุการณ์ได้พิสูจน์แล้วอย่างสมบูรณ์ว่า หาก สสร.ได้คำนึง ถึงความคิดเห็นของประชาชน และผลประโยชน์ของชาติ หรือไม่มีสิ่งเคลือบแฝงอยู่เบื้องหลังแล้ว เหตุการณ์เหล่านั้น จะ ไม่เกิดขึ้น การปลุกระดม การข่มขู่รัฐสภาให้รับร่างรัฐธรรมนูญ หรือการกำหนดสีเพื่อแยกกลุ่มให้คนไทยจนเกือบต้องเข่นฆ่ากันเองนั้นเป็น การกระทำโดยเจตนาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อพิจารณา ถึงการกระทำภายหลังที่คณะ สสร. ร่างรัฐธรรมนูญสำเร็จแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นการเสร็จสิ้นภาระกิจอันกำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๑๑ แล้วอย่างสมบูรณ์ 

แต่การณ์ปรากฏว่าไม่เป็นเช่นนั้น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่คณะ สสร.ได้ ประพฤติปฏิบัตินั้น นอกเหนือไปจากอำนาจและหน้าที่อันระบุไว้ให้กระทำได้ เป็นการกระทำเพื่อบ้านเมือง หรือเพื่อประชาขน หรือเพื่อทำลายชาติ ผมยอมรับฟังความคิดเห็นทางวิชาการของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ในบทบัญญัติซึ่งท่านได้แจกให้ประชาชนได้อ่านและพิจารณา แต่พฤติกรรมของ ประธาน สสร. และ ประธานกรรมมาธิการร่างฯ กลับไม่ยอมรับความคิดเห็นของประชาชนที่มีความเห็นแตกต่างออกไป หรือความเห็นเชิงสร้างสรรค์ของรัฐสภา ซึ่งจัดเป็นลักษณะของเผด็จการทางความคิด ที่บังคับให้ผู้อื่นต้องเห็นด้วยในทุกกรณี ทั้ง ที่ รัฐธรรมนูญนี้ได้ระบุไว้ชัดว่าเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิ ในการแสดงความคิดเห็น หรือการพูดได้โดยอิสรเสรี ซึ่งมีจุดในการสร้างสรรค์หรือเสริมในส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์แท้ เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของประชาขนตามมาตรา ๒๑๑ เตรส อำนาจอันประชาชนได้มอบผ่านรัฐสภา ซึ่งได้แต่งตั้ง สสร.ไป ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับที่สมบูรณ์ ไร้ความขัดแย้งซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อแก้ไขความล้มเหลวของระบบการเมืองในอดีตที่เป็นมา ซึ่งเป็นความเห็นเห็นในแนวทางเดียวกัน
 
แต่พฤติกรรมกลับเป็นที่สงสัยว่าเป็นการทำเพื่อบ้านเมือง ผลประโยชน์ของปวงชน หรือผลประโยชน์ของต่างชาติกันแน่ เพราะปรากฏชัดในหลายมาตราของรัฐ ธรรมนูญฉบับวาติกัน ปี ๒๕๔๐ นี้ ทำให้ประเทศ และปวงชนชาวไทยผู้เป็นเจ้าของรัฐธรรมนูญ ต้องถูกริดรอน ทั้งอำนาจอธิปไตย อิสระ เสรีภาพ ฯลฯ โดยไม่อาจเปลี่ยนแปลงใด ๆ ได้ 

ตลอดระยะเวลานับแต่การเริ่มร่างรัฐ ธรรมนูญ จนกระทั่งรับร่างรัฐธรรมนูญนั้น เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า รัฐสภาได้รับการกดดันโดยนายอานันท์ ปันยารชุน ประธานกรรมาธิการยกร่าง นำคณะ สสร. ออก มาเคลื่อนไหวกดดันสร้างกระแสมวลชน ปรากฏเป็นหลักฐานสาธารณะว่า ใช้ สีเขียว(สีของวาติกัน) เคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลมาโดยตลอด ซึ่งมีการสร้างแนวร่วมจากสื่อสารมวลชนทุกสาขา(เพราะนายกสื่อ มวลชนเป็น สสร. ด้วย) โดยใช้การขู่เข็ญรัฐบาล ผ่านสื่อว่า "ไม่รับรัฐธรรมนูญต้องนอง เลือด" ลักษณะคำขวัญอันปรากฏทางสื่อมวลชนทุกแขนง รวมทั้งเดินนำหน้า "ม๊อบ" เดินขบวนมายังรัฐสภา เป็นกระแสกดดันรัฐบาลให้รับร่างรัฐธรรมนูญ ที่ตนและพวกได้ร่างขึ้นนั้น "โดย เจตนาเพื่อเปลี่ยนรัฐธรรมนูญจากฉบับเดิม เป็นฉบับใหม่" การกระทำของนายอานันท์ ประธานยกร่างฯ เช่นนั้น เป็นการกระทำที่ เข้าข่าย มาตรา ๑ (๖) และมี ความผิดฐานกบฏ มีโทษถึงประหารชีวิต รวมทั้งรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๕๔๐ ก็มิชอบด้วยกฎหมาย ไม่อาจนำมาใช้บังคับเป็นกฎหมายของประเทศได้ด้วยประการทั้งปวง สิ่งที่พึงพิจารณาและน่าสังเกตุเป็นอย่างยิ่ง คือการพยายามใช้กระแสสื่อมวลภายใต้อาณัติของตน ทำการข่มขู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงลงพระปรมาภิไธย เพราะตามกฎหมายนั้น จะต้องกราบบังคมทูลถวายร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว ให้ทรงพระวินิจฉัยเป็นเวลา ๑๕ วันเป็นอย่างน้อย แต่จากหลักฐานอันปรากฏนั้น เมื่อสร้างกระแสที่จัดตั้งโดย NGO เพื่อให้รัฐสภาและวุฒิสภา ยอมรับร่างรัฐธรรมนูญนั้นแล้ว ประธานสภาได้นำเข้าทูลเกล้าถวาย และรอรับร่างรัฐธรรมนูญนั้นกลับในทันที

โดยกลุ่ม NGO มี นายอานันท์ หัวหน้าเป็นหัวหน้าว่าเป็น "รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน" เพื่อมิให้องค์พระประมุขทรงมีพระราชวินิจฉัยในข้อเสียของรัฐธรรมนูญได้ โดยอ้างเอากระแสประชาชนที่ตนได้จัดตั้งขึ้นนั้นบีบบังคับพระองค์ และโดยแผนการที่วางไว้นั้น หากองค์พระประมุขจะทรงนำร่างรัฐธรรมนูญนั้นไปวินิจฉัย ก็เท่ากับขัดต่อกระแส NGO ก็จะถือโอกาสโค่นล้มพระประมุขอีกทางหนึ่งซึ่งได้เตรียมการไว้เรียบร้อย นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดองค์พระประมุขจึงต้องทรงลงพระปรมาภิไธยในร่างรัฐ ธรรมนูญฉบับนี้ โดยไม่อาจที่จะมีพระราชวินิจฉัยได้เลย นับเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพโดยเจตนา 

(หมายเหตุ: ใน ขณะร่างรัฐธรรมนูญ นายวัน มู ฮัมหมัด ได้เข้าร่วมประชุมองค์กรสิทธิมนุษยชนกับนายอานันท์ปันยารชุน ด้วย และภายหลังประกาศใช้แล้ว นายวัน มูฮัมหมัด ได้สนับสนุนการสัมนาธรรมรัฐ(Good Governance) ของ นายอานันท์ ปันยารชุน โดยตลอด สำหรับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ปรากฏทางสื่อมวลชน โทรทัศน์ทุกช่อง สามารถพิสูจน์ได้ทั้งสิ้น นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นจริงในประวัติศาสตร์ไทย)


บรรณานุกรม

เกริกศักดิ์ กองศิลป์, ประเมินผล 27 ปี ของความช่วยเหลือทางวิชาการของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศไทย พ.ศ.๒๔๙๒ - ๒๕๑๓, กรุงเทพฯ , พ.ศ.๒๕๑๓

คนึงนิตย์ จันทบุตร, การ เคลื่อนไหวของยุวสงฆ์ไทยรุ่นแรก, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์-มูลนิธิ โครงการตำราสังคมศาสตร์-มูลนิธิร๊อคกี้เฟลเล่อร์, กรุงเทพฯ, พ.ศ.๒๕๒๘

ชัยอนันต์ สมุทรวานิช, ดร., นานาสังวาสธรรมชาติของพุทธ, ธรรมสันติการ พิมพ์, พ.ศ.๒๕๓๒

ธานินทร์ กรัยวิเชียร, ศาสนา กับ ความมั่นคงของชาติ, กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, กรุงเทพฯ , สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๐

บ.ธรรมบาล, คำ สั่งลับวาติกัน หลักฐานสะท้านโลก, สยามบิวสิเนส, กรุงเทพฯ, พ.ศ.๒๕๔๓

ประสิทธิ์ ไชยทองพันธ์, ภัย ของพระพุทธศาสนา, กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน, กรุงเทพฯ, พ.ศ.๒๕๓๓

พิชิต จงสถิตย์วัฒนา, สหรัฐ กับประเทศด้อยพัฒนา, อักษรสัมพันธ์, กรุงเทพฯ, พ.ศ.๒๕๑๔

เม็ดทราย,การทำลายล้างพระ พุทธศาสนาในเอเซีย เล่ม 1,สยามบิวสิเนส, กรุงเทพฯ, พ.ศ.๒๕๔๓

สาวกสังโฆ, สิทธิมนุษยชนและ เสรีประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา,กรุงเทพฯ, พ.ศ.๒๕๓๒

แสวง อุดมศรี, ศึกสมเด็จ, อมรการพิมพ์,กรุงเทพฯ, พ.ศ.๒๕๒๘

สัมมาสัมพุทธ, เศรษฐศาสตร์เชิง พุทธ, ธีระการพิมพ์, กรุงเทพฯ, มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๑

สุรินทร์ พัฒนศิริ, การปฏิวัติทาง วัฒนธรรมในธิเบต, กรมยุทธศึกษาทหารบก, กรุงเทพฯ

____________ คู่มือป้องกันและปราบปราม คอมมิวนิสต์ เล่ม ๒, กองอำนวยการป้องกันและปราบปราม คอมมิวนิสต์, กรุงเทพฯ, พ.ศ.๒๕๐๒
 
____________ องค์การ แนวร่วมคอมมิวนิสต์รัสเซีย(ลับมาก), ศูนย์ รักษาความปลอดภัย

แห่งชาติ(ศรภ.), กรุงเทพ, พ.ศ.๒๕๑๐

____________ การทำลายพระพุทธศาสนาในประเทศไทย, กรมยุทธศึกษาทหารบก, กรุงเทพฯ, ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๘

Avia Ifon, "Area conflict Research Sought", 1963

Charies A Steven, "The War or the New Churchs", 1968

Falin B Grant, "What are We Doing in Thailand ?", 1969

Hoang Van Chi, From Colonization to Communism, 1974

John Stanley, "The International Trade Arms", London , 1972

Mark Selden, "Re-marking Asia", Pantagon Paper

Michael T Kiare, "Organization Project Agile in Asia", 1969

Michael Getler, "Arpar Team Aids Thailand in Developing", 1966

Olean P Elite, "Army Support in Thailand", 1970

Robert S Macnamara, Pantagon Paper, White House, USA, 1965

W Mccoy, "The Politic of Heroin in South East Asia, 1973"

US. House of Representative, Committee on "Force Affairs", Part 9
__________ "Loas & Thai Iregulars Army", Pantagon Staff Report, Jan 1972,

ระดมความคิดแก้วิกฤติชาติ..." 6/7 เมื่อถึงวันสิ้นชาติ ไม่มีโอกาสแก้ตัว "


สิ้นความเป็นไทย - แล้วจงตายอย่างทาส 

การทำลายระบบเศรษฐกิจพื้นฐานและ เปิดทางให้ต่างชาติยึดครองเบ็ดเสร็จ สิ่งที่พิสูจน์ได้ชัดของการบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๐ นี้ มิได้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของชาติ หรือรักษาความมั่นคงของสถาบันทั้งสาม แต่อย่างใด หลักฐานนี้ท่านสามารถเปรียบเทียบได้จากรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ ในอดีตที่ยังไม่ถูกอิทธิพล " วาติกัน " เข้ามามีบทบาทนั้น จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี พ . ศ . ๒๔๗๕ ถึงปี พ . ศ . ๒๕๓๘ เรามีรัฐธรรมนูญทั้งหมด ๑๕ ฉบับ ทุกฉบับล้วนแต่มีบทบัญญัติปกป้องสิทธิของประชาชนชาวไทย อันหมายถึงประชาติชาติไว้ทุกฉบับ แม้กระทั่งฉบับสุดท้ายคือ รัฐ ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๓๘ จะเห็นได้จากมาตรา ๗๕ " รัฐจะต้องสงวนอาชีพบางประเภทที่สำคัญให้แก่คนไทย " 

แต่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี๒๕๔๐ มิได้มีข้อ ความใดในบทบัญญัติของมาตราใด ที่ระบุถึงการปกป้องอาชีพของชาวไทยไว้เลยแม้แต่แห่งเดียว หลายท่านคิดว่าเป็นเพราะความบังเอิญ ถ้าหากไม่มีบทบัญญัติ ที่ชัดแจ้งแสดงให้เห็นถึงอิทธิพล " วาติกัน " ที่ส่งผลให้มีบัญญัติรัฐธรรมนูญที่สนับสนุน กลุ่มองค์กร NGO และตัวบุคคลต่าง ๆ ที่ร่วมเคลื่อนไหวและสัมพันธ์กับขบวนการ " โกมลคีมทอง " เปิดโอกาสให้นายทุนต่างชาติ และป้องกันการดำเนินการใด ๆ ทางกฎหมายต่อ " ประชาชนสัญชาติคาทอลิก " เพื่อให้มีโอกาสเข้ามายึดครองเศรษฐกิจระดับมหภาค และอสังหาริมทรัพย์ได้ โดยใช้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๔๐ มาตรา ๓๐ วรรค ๓ " การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างใน เรื่องถิ่นกำเหนิด เชื้อชาติ ภาษา ... ฯลฯ ... จะกระทำมิได้ " นอกจากจะไม่ปกป้องสิทธิของชาวไทยแล้วยังรับรองสิทธิของต่างชาติอีกด้วย ไม่เพียงแต่เท่านั้นยังเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในประเทศได้โดย เสรีไม่จำกัดประเภท 

เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น แน่นอนที่สุดต้องมีข้อพิสูจน์เพราะ ปรากฏว่าข้อบังคับเงื่อนไขของ IMF( กองทุนระหว่างประเทศ ) กลายเป็นบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญไทย ปี๒๕๔๐ มาตรา ๘๗ " รัฐต้องสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรีโดยอาศัยกลไกตลาด " ท่านทราบหรือไม่ว่าคำว่า " กลไกตลาด " นั้นมิใช่ภาษากฎหมาย และไม่เคยปรากฏในคำนิยามใด ๆ ในประมวลกฎหมายใดของโลกมนุษย์ด้วย ย่อมต้องทราบว่าประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา ย่อมไม่มีทางแข่งขันแบบเสรีกับต่างชาติได้เลยไม่ว่าในวิถีทางหรือระยะเวลาใด ๆ เนื่องจากประเทศไทยยังไม่พร้อม การบัญญัติกฎหมายดังกล่าวนอกจากจะไม่ให้ประโยชน์แก่ประเทศชาติแล้ว ยังเป็นการบั่นทอนความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติอีกด้วย 

ท่านคงเห็นแล้วว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นกระบวนโดยคณะบุคคล ที่ยิ่งเห็นชัดไปอีกก็คือ การเสนอให้มีการยกเลิก ประกาศคณะปฏิวัติ ๒๘๑ ซึ่งเมื่อยกเลิกได้แล้ว จะทำให้ชาวต่างชาติมีสิทธิถือครองอสังหาริมทรัพย์ ( ที่ดิน ) ได้ไม่จำกัดเนื้อที่ และสถานที่ ๑๐๐ % และด้วยเหตุดังกล่าวนี้เองจึงมีความต้องการจากกลุ่มขบวนการผลประโยชน์ ผลักดันให้นักการเมืองยกเลิก พ.ร.บ. ป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ นี้ เพราะเป็น พ.ร.บ. เดียวที่สามารถทำให้ผลประโยชน์ของขบวนการดังกล่าวไม่บรรลุเป้าหมาย เพราะอำนาจของ พ.ร.บ. นี้สามารถประกาศ กำหนดเขตพื้นที่หวงห้ามได้ และถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งการให้ชาวต่างชาติถือครองที่ดินได้ ๑๐๐ % เป็นเรื่องอันตรายต่อความมั่นคงของบูรภาพ อาณาเขต และความมั่นคงของชาติเป็นอย่างมาก ในส่วนที่เกี่ยวข้องและบ่อนทำลายความมั่นคงของชาตินั้น ท่านสามารถพิจารณาได้ด้วยภูมิปัญญาของแต่ละท่านจากบทบัญญัติมาตราอื่น ๆ ที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี ๒๕๔๐ อันมีผลเชื่อมโยงกันกับมาตรา ๓ และมาตรา ๘๗ ว่ามีการจัดทำกันอย่างเป็นขบวนการหรือไม่อย่างใด และประชาชนไทยจะได้ประโยชน์อะไรกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ การกระทำดังกล่าว เป็นการร่วมกัน " บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ " ตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. ป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ทั้งสิ้น ( จึงเป็นที่มาของความพยายามในการให้ยกเลิก พ.ร.บ. นี้ ) และระเบียบรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๑๗ อีกด้วย และในปัจจุบัน ( พ.ศ. ๒๕๔๓ ได้ปรากฏผลพิสูจน์ชัดแจ้งว่า รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. ๒๕๔๐ นี้ ได้ส่งผลร้ายให้กับประเทศไทยอย่างแสนสาหัส )

การทำลายระบบกระบวนการยุติธรรม ให้ NGO มีอำนาจเหนือรัฐ
ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๓๐๔ " สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่า ที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติตามมาตรา ๓๐๗ ให้ถอดถอนบุคคลตามมาตรา ๓๐๓ ( ๒ ) ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง " ซึ่งไม่มีข้อยกเว้นสำหรับข้าราชการฝ่ายทหาร และฝ่ายพลเรือนตำแหน่งปลัดกระทรวง อธิบดี และเทียบเท่า " โดยไม่ต้องมีการพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงในชั้นศาลว่าจริงเท็จ " เพราะมาตรา ๓๐๓ วรรคหนึ่งระบุเพียงคำว่า " ส่อว่า " ไม่ได้ใช้คำว่า เมื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ว่ากระทำผิดจริง จึงเป็นข้อสังเกตว่าข้าราชการฝ่ายทหาร และฝ่ายพลเรือนตำแหน่งปลัดกระทรวง อธิบดี และเทียบเท่า ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งแต่สามารถถูกถอดถอนโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือประชาชนตามจำนวนดังกล่าวข้างต้น และมติของวุฒิสภาถือเป็นที่สุด ขณะที่นักการเมืองได้รับการยกเว้น โดยระบุไว้ในตามมาตรา ๓๐๗ วรรคสาม ว่า " มติของวุฒิสภาตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด และจะมีการร้องขอให้ถอดถอนบุคคลดังกล่าวโดยอาศัยเหตุเดียวกันอีกมิได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" เป็นงั้นไป แสดงว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ นักการเมืองลอยตัว แล้วจะร่างมาทำพระแสงอะไรครับ ในเมื่อใช้บังคับนักการเมืองไม่ได้ จะเห็นได้ว่าการที่บัญญัตินี้ก็เพราะ " วาติกัน " สามารถปกป้องบุคลากรของตนที่ได้ส่งเข้ามาเป็นนักการเมืองไม่ให้ถูกถอดถอนได้ นั่นเอง ไม่มีเหตุผลอื่น หรือว่ามี ? ที่แสบสันต์สุดพรรณนาก็คือ การจะถอดออกจากตำแหน่งได้นั้นก็ต้องเป็น " คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ( ศาลเตี้ย )" คิดกันเอาเอง 

แต่ที่แน่ไปกว่านั้นอีกก็คือ ได้มีการออกกฏมายในเดือน มีนาคม พ . ศ . ๒๕๔๓ ระบุไว้อีกว่า " ผู้ไม่ไปเลือกตั้ง หมดสิทธิลงชื่อถอดถอน นักการเมือง " พร้อมกับให้ปั้มลายนิ้วมือ ซึ่งไม่ปรากฏที่ใดในโลกนอกจากอาชญากร จากนั้นก็วางแผนเลือกตั้ง " วุฒิสภา " แบบซ้ำซาก อ้างว่ามีการทุจริต แต่แท้ที่จริงแล้ว ก็คือ " การฉ้อฉล เพื่อตัดสิทธิประชาชนไม่ให้ลงชื่อถอดถอนนักการเมือง " และล่าสุดปรากฏการกระทำอันหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างร้ายแรงโดยศาลรัฐ ธรรมนูญ ในกรณีรับตีความว่า " ฐานะขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวนั้น เป็นประชาชนหรือไม่ ??"

เป็นการแกล้งโง่หรือว่าเจตนาหมิ่นพระบรมราชานุภาพ โดยศาลรัฐธรรมนูญกันแน่ และถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า " พระมหากษัตริย์ไม่ใช่ประชาชนไทยอะไรจะเกิดขึ้น ? " นี่คือการทดสอบกระแสของประชาชน ในการใช้ศาลรัฐธรรมนูญ ถอดถอนองค์พระมหากษัตริย์อย่างแยบยลที่สุด เพราะเรื่องดังกล่าวนี้ สิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญควรกระทำคือไม่รับวินิจฉัยเรื่องนี้ เพราะแม้นักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ซึ่งถูกยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่รับ เหตุใดจึงรับเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่องค์พระมหากษัตริย์รัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดว่าทรงอยู่เหนือการเมือง นี่คือที่สุดของที่สุด องค์กรศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ สนับสนุนการทำลายสถาบันโดยเฉพาะ การทำลายพระราชอำนาจของพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทางตุลาการ
 
ซึ่งเดิมศาลสถิตยุติธรรมอันเป็นอำนาจตุลาการ ทำการในพระปรมาภิไธยองค์พระมหากษัตริย์ ตัดสินเด็ดขาดแล้วศาลรัฐธรรมนูญยังยกเลิกได้ รวมทั้งพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นหลักการของ " วาติกัน " ดังได้กล่าวไปแต่ต้นนั้น จึงใช้อิทธิพลให้มีบทบัญญัติตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาทำลายอำนาจตุลาการ ซึ่งเป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่พึ่งสุดท้ายในกระบวนการยุติธรรมของพสกนิกรชาวไทย และเพื่อทำลายความจังรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ในการขอพระราชทานอภัยโทษ และหากทรงพระราชทานอภัยโทษแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญก็ยกเลิกได้ แสดงให้เห็นถึงการมีอำนาจเหนือพระมหากษัตริย์ขององค์กรนี้ จึงเป็นคำถามว่า การตั้งขึ้นมานี้เพื่อประโยชน์ของใคร ? และใครคือต้นคิด

ความร้ายกาจที่สุดของรัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่ตรง หมวด ๘ ส่วนที่ ๒ คือ การตั้งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีอยู่ ๑๕ มาตรา โดยแบ่งออกเป็นดังนี้ คือเรื่องเกี่ยวกับศาลมี ๕ มาตรา ศาลทหารมี ๒ มาตรา แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับมี ๑๕ มาตรา ซึ่งมากกว่าศาลอื่นทั้งหมด และเป็นสถาบันที่มีอำนาจและมีความยิ่งใหญ่กว่าอำนาจอธิปไตยทั้ง ๓ คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ และทั้งสามอำนาจนี้จะเอื้ออำนวยต่อกันและถ่วงดุลอำนาจกันในตัว ซึ่งสถาบันยุติธรรมคือสถาบันตุลาการจะถือว่าเป็นที่พึ่งสุดท้ายอันให้ ความยุติธรรมกับประชาชน ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับสภา หรือรัฐบาล ไม่ว่าเหตุการณ์บ้านเมืองจะดำเนินไปอย่างไร ศาลสถิตยุติธรรมยังอยู่คู่กับชาติและเป็นเสาหลักที่พึ่งของประชาชนตลอดมาเสมอ เป็นเช่นนี้ตลอดมาตั้งแต่ยุคใด สมัยใดในชาติไทย แม้กระทั่งก่อนเปลี่ยนการปกครอง ท่านผู้พิพากษาทุกท่านในกระบวนการยุติธรรม ล้วนแล้วแต่เป็นผู้แทนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันได้นามว่า " ในพระปรมาภิไธย " ทั้งสิ้นเป็นผู้ทรงเกียรติ และทรงคุณวุฒิ พร้อมด้วยความยุติธรรม 

แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กลับปรากฏว่าศาลสถิตยุติธรรมอันเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนนั้นไม่มีเสีย แล้วเพราะตกอยู่ภายใต้อำนาจที่ถูกตั้งขึ้นใหม่ซึ่งยิ่งใหญ่กว่า หากท่านผู้มีปัญญาได้วินิจพิจารณาด้วยเหตุและผล ตามตัวอักษร หรือแม้จะเป็นวิธีปฏิบัติอันปรากฏในรัฐธรรมนูญเองก็ตาม จะเห็นได้ไม่ยากว่าศาลรัฐธรรมนูญ ได้ตั้งขึ้นเพื่อให้คนกลุ่มหนึ่งมีอำนาจเหนืออำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย ซึ่งกลุ่มคนดังกล่าวนั้นมีจำนวนเพียง ๑๕ คน เมื่อพิจารณาถึงวิธีการเข้ามาของกลุ่มบุคคลที่จะเข้ามาเป็นศาลรัฐธรรมนูญ อันมีอยู่ ๒ มาตรานั้น จะเห็นได้ว่า มีคนจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่จะเข้ามาได้ เป็นการเขียนเพื่อหลอกให้สำคัญผิดในข้อเท็จจริงในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และที่ชัดที่สุดคือการเขียนเปิดช่องไว้เสียอีกด้วยว่า ใครจะเป็นผู้เข้ามา ซึ่งจะปฏิเสธไม่ได้ว่าสนองบุคคลที่เป็นกลุ่มนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์เสียทั้งสิ้น เรียกว่าจะเลือกเอาคนจำนวนหนึ่งเข้ามาเสียอย่าง และการจะเลือกกันอย่างไรนั้นก็มองได้ชัดว่าเป็นการเลือกแบบพรรคพวกหรือพวก พ้องทั้งสิ้น เพราะจาก ๑๕ คนนี้ เมื่อมีการเลือกขึ้น คงไม่ต้องอธิบายก็ทราบได้ว่า เสียงข้างมากนั้นจะอยู่ฝ่ายใด แล้วใครจะได้เป็นผู้รับเลือกให้ไปอยู่ตำแหน่งตรงนั้น ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งก็ยาวนานร่วม ๓ รัฐบาล คือ ๙ ปี และยิ่งกว่านั้นยังมีอำนาจที่สูงสุดกว่าอำนาจใดอีกด้วย เมื่อพิจารณาตามตัวมาตรา ๒๑๖ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับมาตรา ๒๗ ระบุไว้อย่างชัด ซึ่งนักกฎหมายสามารถจะพิสูจน์ได้ไม่ยาก แต่ประชาชนซึ่งขาดประสบการณ์ทางกฎหมายไม่มีทางที่จะทราบข้อมูลนี้ได้ เป็นการซ่อนเงื่อนโดยเชื่อมโยงตัวกฎหมายให้เกิดการสับสนให้เกิดขึ้น เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนให้ไขว้เขวจากเจตนาที่แท้จริงของ ผู้ ที่สร้างอำนาจใหม่นี้ขึ้น และอำนาจแห่งศาลรัฐธรรมนูญนี้ จะเป็นอำนาจเดียวที่สูงที่สุดเหนือกว่าอำนาจอธิปไตยทั้ง ๓  
เดิมทีแล้วศาลรัฐธรรมนูญนี้ เมื่อสมัยเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ นั้น สภาวะของรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ยังไม่มีศาลรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นในสมัยนั้นแต่อย่างใด ซึ่งการพิจารณากฎหมาย หรือข้อขัดแย้งทางด้านกฎหมาย รัฐสภาจะเป็นผู้ตีความในทุกกรณีที่เกิดปัญหาทางรัฐธรรมนูญขึ้น เมื่อระยะเวลาล่วงมาเกิดส่งครามโลกครั้งที่ ๒ ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับประเทศญี่ปุ่น โดยจอมพล ป พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาลสมัยนั้น เป็นผู้ร่วมลงนาม แต่เมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ปรากฏว่าญี่ปุ่นแพ้สงคราม นั่นหมายถึงประเทศไทยซึ่งเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นจึงถือว่าเป็นผู้แพ้สงคราม ด้วยผู้นำรัฐบาลและคณะรัฐบาล ( จอมพล ป . พิบูลสงคราม ) รัฐสภาได้ออกกฎหมายอาชญากรสงครามโลก ที่จะดำเนินคดีเอาผิดและลงโทษเด็ดขาดกับคณะรัฐบาล รัฐบาลดังกล่าว แต่เมื่อยื่นฟ้องต่อศาลแล้วผลกลับเป็นว่าศาลฎีกาพิพากษาตัดสินยกฟ้อง เนื่องจากว่าเป็นกฎหมายย้อนหลัง ไม่สามารถเอาผิดหรือลงโทษได้ ด้วยตัวบทกฎหมายอันไม่สามารถลงโทษต่อผู้กระทำความผิดดังกล่าวนี้ได้ขัด กับความเป็นจริงและความรู้สึกของประชาชนและรัฐสภา จากปัญหาดังกล่าวนี้ จึงมีการแต่งตั้งตุลาการรัฐธรรมนูญ ขึ้นเป็นครั้งแรก ( พ.ศ. ๒๔๘๙ ) และตลอดมา โดยทำหน้าที่คอยตีความข้อกฎหมาย อันมีขอบเขตเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานรัฐสภาเท่านั้น 

และต่อจากนั้นมีรัฐธรรมนูญอีก ๗ ฉบับ มีตุลาการรัฐธรรมนูญ และพัฒนาการของศาลรัฐธรรมนูญได้ขยายขอบเขตและอำนาจมากขึ้น แต่ก็ใช้ชื่อเรียกเป็นทางการและลายลักษณ์อักษรว่า " ตุลาการ " ไม่ใช่ " ศาล " ดังเช่นปรากฏในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับ " วาติกัน " นี้
ได้มีการพัฒนาอีกในสมัยยุค ตุลาคม ๒๕๑๗ โดยรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ก็ให้สิทธิและอำนาจตุลาการรัฐธรรมนูญมากขึ้น ด้วยเหตุผลที่ว่าหากอำนาจอยู่ที่รัฐสภาจะเกิดเผด็จการทางรัฐสภา เวลาจะตีความว่า ส.ส . ขาดคุณสมบัติหรือไม่ หรือขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ จะเป็นเหมือนว่ารัฐสภาจะเข้าข้าง ส.ส . เพราะฉะนั้นความคิดเห็นของนักกฎหมายมหาชนในระยะนั้น จึงเพิ่มอำนาจให้ตุลาการรัฐธรรมนูญมากขึ้น ทำให้คลอบคลุมได้ทุกอย่างแต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีขอบจำกัดแต่ในส่วนของ ส.ส . เท่านั้น

แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับวาติกัน ( ๒๕๔๐ ) นี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงอำนาจของตุลาการรัฐธรรมนูญ อย่างชัดเจน โดยตั้งให้เป็น " ศาลรัฐธรรมนูญ " ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ผิดหลักกฎหมายของอังกฤษ ซึ่งประเทศไทยเราใช้เป็นแม่แบบในการร่างกฎหมายตลอดมา ( ความเห็นของท่านอาจารย์สรรเสริญ ไกรกิติ ) เพราะว่าขณะนี้ได้กลายเป็นศาลไปเสียแล้ว ทำให้มีอำนาจที่สามารถยกเลิกมติใด ๆ อันรัฐสภามีมติไปแล้วได้ ตัวอย่างเช่นเมื่อรัฐสภามีมติให้ พ.ร.บ. ใดตกไปด้วยเสียงข้างมากของสมาชิกสภา ไม่อาจนำมาบังคับใช้ได้ แต่ฝ่ายที่เสนอมาแล้วแพ้มติรัฐสภานั้น สามารถเข้าชื่อกันร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ตีความ พ.ร.บ. ที่แพ้มตินั้นเสียเอง ซึ่งผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ให้ถือเป็นที่สุด และมีผลบังคับใช้ทันทีโดยไม่มีข้อแม้ ซึ่งลักษณะการเช่นนี้ไม่เคยมีปรากฏในกฎหมาย หรือใช้ในประเทศใดในโลก นอกจากประเทศเผด็จการ หรือประเทศคอมมิวนิสต์เท่านั้น แสดงให้เห็นถึงอำนาจที่เหนือกว่าอำนาจอธิปไตยของชาติ อันได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ อันเป็นของปวงชนชาวไทย และนอกจากศาลรัฐธรรมนูญ จะมีอำนาจเหนือกว่าอำนาจอธิปไตยนี้แล้ว ยังมีอำนาจเหนือองค์กร ต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นใหม่ด้วย และที่ยิ่งกว่านั้นขึ้นไปอีกก็คือ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ มีว่า
 
มาตรา ๒๖๒ ( ๒ ) " หาก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของสภาทั้งสองรวมกัน มีจำนวนไม่น้อยกว่ายี่สิบคนเห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวมีข้อความ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณี แล้วให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับความเห็นดังกล่าว ส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า " จะเห็นได้เลยว่า " ใช้ ส . ส . เพียงยี่สิบคนเท่านั้น " และจะเป็นสภาใดก็ได้ หรือรวมกันสองสภาก็ได้ ก็สามารถเปลี่ยนกฎหมายได้ทันที โดยไม่ต้องใช้เสียงข้างมากด้วย นี่คือการทำลายอธิปไตยหนึ่งคืออำนาจนิติบัญญัติ ในการออกกฎหมาย ซึ่งโดยปกติตลอดมาย่อมต้องใช้การลงมติในรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่ง แต่มารัฐธรรมนูญนี้ กลับใช้คะแนนเสียงเพียง ๒๐ คนรวมกับ ศาลรัฐธรรมนูญอีก ๑๕ คน รวมเบ็ดเสร็จการใช้อำนาจในทางนิติบัญญัติใช้คนเพียง ๓๕ คน ก็สามารถออกหมายมาบังคับใช้กับประชาชนในประเทศแล้ว ซึ่งแน่นอนที่สุดหากกฎหมายนั้นเป็นประโยชน์กับประเทศชาติประชาชนก็โชคดีไป แต่หากเป็นกรณีที่ชาวต่างชาติต้องการประโยชน์ขึ้นมาบ้างเล่า ลองหลับตาคิดดูก็แล้วกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น และเมื่อพิจารณาตามหลักฐาน และตัวบุคคลรวมทั้งความสำพันธ์ของกรรมการยกร่าง ก็คงไม่ใช่เป็นการกล่าวหาอะไรที่จะกล่าวว่า " วาติกัน " อยู่เบื้องหลังการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ โดยเฉพาะในส่วนกฎหมายเช่นนี้ออกมาเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ โดยให้อำนาจล้นฟ้า แก่ศาลรัฐธรรมนูญ และไม่ใช่เป็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระ ประมุขโดยแน่แท้ เพราะ " เมื่อกฎหมายหรือพระราชบัญญัติประกาศมีผล บังคับใช้นั้นจะมีผลเหนืออำนาจพระมหากษัตริย์เสียอีกด้วย "

เพราะรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ ได้ระบุไว้ใน มาตรา ๓ กล่าวถึงอำนาจอธิปไตยว่า " อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทาง รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ " ดังนั้นเมื่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งใช้มติจากคนเพียง ๑๕ คน ก็ออกกฎหมายได้โดยไม่ต้องผ่านสภา และมีผลบังคับใช้ และผลบังคับนั้นก็มีผลต่อองค์พระมหากษัตริย์อีกด้วยตาม มาตรา ๓๐ " บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย ฯลฯ " ซึ่งนับว่า เป็นการละเมิดพระราชอำนาจ และลดฐานะองค์พระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทยลงมาโดยแท้ และโดยถาวรโดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นรัฐธรรมนูญที่มีการบัญญัติกฎหมายที่ทำลายระบบรัฐสภาโดยเจตนา เมื่อท่านได้อ่านมาถึงตรงนี้ท่านอาจจะคิดว่าผู้เขียนคิดมากไปเอง สสร . ส่วนใหญ่แล้วคงจะไม่มีเถยจิตคิดที่จะทำเช่นนั้น ครับผมคงจะก็เชื่อด้วยความบริสุทธิใจเช่นเดียวกันกับท่านนั่นแหละครับ หากไม่ได้ทราบมาก่อนว่า

เมื่อวันที่ ๑๔ - ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๙ นายอานันท์ ปันยาชุน เมื่อครั้งยังไม่ได้เป็นประธานกรรมมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ได้แสดงจิตเจตนาไว้อย่างเป็นรูปธรรม ในการแสดงปาฐกถา ซึ่งมี ข้อความตอนหนึ่งว่า " ระบบรัฐบาล หรือ ระบบรัฐสภา ไม่ใช่ระบบที่ถูกต้องไม่ใช่ Good Government ต้องมีการเปลี่ยนแปลง และจะไม่ใช่เป็นเพียงอุดมคติของผม ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม " และนี่คือบทพิสูจน์ว่า นายอานันท์ ฯ เป็นคนพูดจริงทำจริง พฤติกรรมจากวันนั้นผลที่ออกมาก็คือรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และนี่คือสาเหตุที่ผมเชื่อโดยสุจริตใจว่า สสร . ผู้อื่นไม่มีเจตนาที่จะให้รัฐธรรมนูญมีกฎหมายซึ่งทำลายอำนาจอธิปไตยของชาติ เช่นนี้ออกมา เพราะผู้ที่มีเจตนาย่อมมีการกระทำที่กระจ่างชัดด้วยผลงานอยู่แล้ว ยังหรอกครับยังไม่จบเท่านี้ ประวัติศาสตร์จีนว่าแน่ ๆ ที่มีศาลไคฟง แต่นั่นมันสมัยโบราณล้าสมัยยุคไดโนเสา สมัยอินเตอร์เนตมันต้องศาลรัฐธรรมนูญ นี้ซิถึงยิ่งใหญ่กว่าศาลไคฟง ที่ต้องชิดซ้ายหายไปจากประวัติศาสตร์เลยเชียวละ ไม่เพียงเท่านั้นความพิสดารยอกย้อนซ่อนเงื่อนในมาตรา ๒๖๒ ที่ซับซ้อนยิ่งกว่าหนังกำลังภายใน คงเป็นที่สะใจคนที่สร้างขึ้นมาเชียวแหละ ซึ่งหากท่านคิดว่าเป็นนักอ่านก็ลองอ่านดูซิครับว่าท่านจะต้องอ่านสักกี่รอบ ถึงจะเข้าใจและตีความตามข้อกฎหมายมาตรานี้ได้ ขนาดนักกฎหมายมหาชนชั้นยอดยังต้องเรียกหายาหอมมากินก่อนที่จะจับความหมายของ ข้อความในมาตรานี้ได้ว่า จุดมุ่งหมายในการสร้างศาลรัฐธรรมนูญนี้ขึ้นมาก็เพื่อใช้เป็นเกราะป้องกันรัฐ ธรรมนูญฉบับนี้ ไม่ให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตนั่นเอง

จะเห็นได้จากอำนาจล้นฟ้าแม้ว่า กฎหมายอันรัฐสภาจะผ่านมติไปแล้วว่าไม่เห็นชอบ แต่ศาลรัฐธรรมนูญยกเลิกมติของรัฐสภาเสียก็ได้ พิจารณาเอาเองก็แล้วกันว่าใหญ่กว่ารัฐสภาไหม ? อำนาจนี้ระบุไว้ใน มาตรา ๒๖๒ วรรค ๕ " ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้น มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ และข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ หรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป " อำนาจของคำวินิจฉัยนี้ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ฎีกา ผิดหลักการแห่งกฎหมายด้วยประการทั้งปวง ตาม มาตรา ๒๖๘ " คำ วินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ถือเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และ องค์กรอื่นของรัฐ " ท่านคงเห็นแล้วว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจมากมายมหาศาล ซึ่งแน่นอนลักษณะของอำนาจเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ศาลที่มีอยู่ในประเทศที่ปกครองใน ระบอบประชาธิปไตย ผู้ที่ร่างมาตรานี้นับว่าเป็นอัจฉริยะทางด้านกฎหมายโดยแท้ ที่สามารถสร้างความสับสนในถ้อยคำแห่งกฎหมายให้บรรลุวัตถุประสงค์ของตนได้โดย ไม่มีผู้คัดค้านในชั้นยกร่างรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด จึงเป็นที่สงสัยว่าในคณะ สสร . ผู้ยกร่างนั้น เข้าใจ หรือมีความปรารถนาที่จะใช้ระบอบประชาธิปไตยในการปกครองหรือไม่ หากมีความปรารถนาและเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย เหตุไฉนจึงผ่านชั้นกรรมาธิการยกร่างมาถึงสภาได้โดยไม่มีผู้ใดกล่าวถึง และประธานยกร่างรัฐธรรมนูญ คือนายอานันท์ ปันยารชุน มีเจตนาอะไร ?? 

นอกจากนี้ยังมีอำนาจอีกส่วนหนึ่งของศาลรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งบ่งชัดถึงความเป็นเผด็จการ กำจัดสิทธิ์ เหมือนกับมัดมือมัดเท้าฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ให้คิดแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงข้อความใด ๆ ในรัฐธรรมนูญนี้ให้ผิดแผกแตกต่างไปจากที่มีอยู่แล้วได้เลย ไม่ว่าในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนี้จะทำให้ประเทศชาติ และประชาชนเสียประโยชน์ หรืออธิปไตยก็ตาม อันที่จริงแล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือออกพระราชบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ตามที่ปรากฏในหมวด๑๒ หากอ่านผ่าน ๆ ก็คิดว่าทำได้ไม่ยากนัก แต่ความเป็นจริงแล้วทำไม่ได้เลย และยิ่งไปกว่านั้น ศาลรัฐธรรมนูญ ยังสามารถออกกฎหมายวิธีพิจารณาได้เองอีกด้วย เป็นการควบคุมการพิจารณาและพิพากษาอย่างเสร็จเด็ดขาดเหมือนศาลเตี้ย ซึ่งก็มีปรากฏอยู่ในแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฏีกา อีกด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเห็นอย่างชัดแจ้งว่าเป็นการทำลายสถาบันยุติธรรม ขัดหลักการของความเป็นศาล เป็นการบังคับให้ศาลยุติธรรมทำการพิจารณา พิพากษาให้กับคนกลุ่มเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะขัดกับ มาตรา ๒๓๔ และ ๒๓๕ ที่วางไว้ในส่วนทั่วไปในเรื่องศาลอันปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้เช่นเดียว กัน โดยมีบทบัญญัติวิธีพิจารณาไว้ในส่วนที่ ๔ ของหมวดที่ ๑๐ การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ 

ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วก็เป็นการสมควรที่จะต้องมีการตรวจสอบอำนาจรัฐ แต่อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ กลับมีอำนาจในการออกวิธีพิจารณา หรือกฎหมายวิธีพิจารณา ที่เรียกกันว่าวิธีบัญญัตินั้น เดิมหน้าที่การออกพระราชบัญญัติวิธีพิจารณานี้เป็นหน้าที่ของรัฐสภาซึ่ง ทำหน้าที่นิ ติบัญญัติเป็นผู้กระทำโดยตรง และการร่างวิธีพิจารณานี้โดยปกติธรรมดาแล้วจะกระทำโดยการออกพระราชบัญญัติ ขึ้นภายหลัง ซึ่งเรามักเรียกว่ากฎหมายลูก ไม่เคยปรากฏว่าจะบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเช่นนี้ หากพิจารณาจากองค์ประกอบ และเจตนา พร้อมทั้งตัวบุคคลซึ่งเป็นประธานกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ แล้วพอให้คำจำกัดความได้ว่า เนื่องจากผู้ร่างรัฐธรรมนูญนี้มีความเกรงกลัวว่า เมื่อร่างกฎหมายลูกขึ้นแล้ว จะไม่เป็นไปตามที่ตนต้องการ หรือทำให้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญตามที่ตนต้องการนั้นมีอำนาจน้อยลง เพราะรัฐสภาจะไม่ลงมติเห็นชอบเมื่อมีการพิจารณามาตรานี้ ท่านจึงออกเป็นบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเสียเลย และนี่แหละที่ท่านกลัวนักกลัวหนาว่า จะมี การแก้ ไข ประกาศโจ่งแจ้งว่า รัฐธรรมนูญนี้แม้อักษรตัวเดียวก็แก้ไขไม่ได้ และออกปลุกระดม เบี่ยงเบนข้อมูลให้ประชาชนสับสนว่า สส . กลัวรัฐธรรมนูญนี้จะผ่าน เพราะ สส . ไม่ต้องการให้มีการตรวจทรัพย์สิน ประชาชนที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงจึงหลงกระแสและพากันมาบังคับขู่เข็ญให้รัฐสภา ให้มีมติทางเดียวคือรับร่างรัฐธรรมนูญนี้ อย่างไม่มีเงื่อนไข ห้ามปฏิเสธ และห้ามแก้ถ้อยคำใด ๆ ในรัฐธรรมนูญอีกด้วย หากท่าน สสร . ท่านใดที่อ่านข้อความนี้ และต้องการที่จะดำเนินการทางศาล ก็ขอเชิญได้ทุกเวลา ผู้เขียนพร้อมที่จะแสดงหลักฐานและข้อเท็จจริงให้ประจักษ์ เพื่อผลประโยชน์ของชาติและประชาชน เพราะโดยความเป็นจริงโดยประเพณีซึ่งวิธีพิจารณานั้นควรออกกฎหมายเป็นพระราช บัญญัติโดยผ่านทางรัฐสภา แต่ ผู้ยกร่าง รัฐธรรมนูญรู้ดีว่าหากท่านไม่ บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญในเรื่องวิธีพิจารณาทั้งสองแห่งนี้ แน่นอน บทบัญญัติ และอำนาจของศาลนี้ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง
 
นอกจากจะสร้างอำนาจให้กับศาลรัฐธรรมนูญแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังทำลายอำนาจอธิปไตยทางศาล ทำลายระบบกระบวนการยุติธรรมของชาติอีกด้วย ดังปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐ นี้ บังคับให้ศาลฎีกาเป็นทั้งศาลชั้นต้นและสูงสุดอยู่ในศาลเดียวกัน ซึ่งไม่เคยปรากฏ ณ ที่ใดในโลกที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยมาก่อนนอกจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ " ไม่ปรากฏว่ามีประเทศใดที่มีกฎหมายกำหนดให้ศาลชั้นต้นเป็นศาลสูงสุด หรือให้ศาลสูงสุดเป็นศาลชั้นต้น " หากท่านผู้ใดพบเห็นกรุณาช่วยบอกให้ทราบด้วยเถิดเป็นวิทยาทาน ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า
 
มาตรา ๓๑๐ " ในการพิจารณาคดี ให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยึดสำนวนของคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นหลักในการพิจารณา และอาจใต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร " ซึ่งอันที่จริงเป็นการเอาวิธีพิจารณาใส่เข้าไปนั่นเอง พร้อมกันนั้นก็ใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา ๒๖๕ ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะแต่งตั้งคณะบุคคลได้เอง หรือเรียกเอกสาร หลักฐาน มาใช้บังคับศาลฎีกาให้ดำเนินการตามที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องการได้ สิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือ ศาลฎีกา ทำการในพระปรมาภิไธย แต่ ศาลรัฐธรรมนูญทำการใน ?? มีคำถามว่าศาลรัฐธรรมนูญ ใช้อำนาจอะไร ? ออกคำสั่งยกเลิกเพิกถอนคำพิพากษาของศาลฎีกา ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการอันเป็นส่วนหนึ่งในอำนาจอธิปไตยของชาติ และทำการในพระปรมาภิไธยขององค์พระมหากษัตริย์ ผู้เป็นประมุขของชาติ อีกชั้นหนึ่งด้วย และคำพิพากษาของศาลฎีกาถือเป็นสูงสุดจะ อุทธรณ์ ใด ๆ มิได้ แสดงว่าศาลรัฐธรรมนูญใหญ่กว่าองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้ยังรวมไปถึงการดำเนินการ การพิจารณาคดีทั้งนี้ยังรวมไปถึงการสืบพยานเช่นเดียวกับการทำงานของศาลชั้นต้น เป็นลักษณะของระบบการไต่สวนแบบฝรั่งเศส ( เชื่อว่า สสร . ผู้ยกร่างคงจบจากฝรั่งเศส ผู้เขียน ) ซึ่งผิดหลักการของการพิจารณาคดีของศาลไทยซึ่งใช้ปฏิบัติกันสืบมาจนปัจจุบัน เป็น ระบบการไต่สวนแบบอังกฤษ โดยข้อกฎหมายนี้แสดงชัดว่า ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีความรู้หรือความเข้าใจเกี่ยวกับระบบศาลไทยว่าใช้ระบบใด ( คงทราบดีว่าเขียนอย่างไรก็ต้องผ่านว่างั้นเถอะ เลยขาดความละเอียดในการพิจารณาถึงระบบศาล ผู้เขียน ) เพราะระบบศาลฝรั่งเศสนั้นใช้ระบบไต่สวน แต่ระบบศาลอังกฤษใช้ระบบกล่าวหา และที่สำคัญไปกว่านั้นบทบัญญัตินี้ยังแสดงให้เห็นถึงอาการเสื่อมทางปัญญาของผู้ยกร่าง เนื่องจากระบบศาลของฝรั่งเศสเป็นระบบศาลพิเศษ ต่างจากศาลยุติธรรมธรรมดานั้นมีองค์คณะประกอบด้วย ผู้พิพากษาศาลฎีกา ๕ ท่าน สส . ๖ ท่าน และ ส.ว. ๖ ท่าน ซึ่งเพิ่งจะเริ่มตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี พ . ศ . ๒๕๓๗ นี่เอง และส่วนแตกต่างจากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ก็คือ เมื่อคำวินิจฉัยของศาลพิเศษฝรั่งเศสนี้ถึงที่สุดแล้ว ก็ยังสามารถฎีกาไปยังศาลฎีกาให้พิจารณาอีกครั้งได้ แต่ในรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ ของไทย ตัดสิทธิ์ในการฎีกาทุกชนิดโดย มาตรา ๒๖๘ " คำ วินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และองค์กรอื่นของรัฐ " 

การจำกัดสิทธิของประชาชนโดยรัฐธรรมนูญ ฉบับ " วาติกัน "(2540) นี้อนุญาตให้ทำได้ทุกเวลา หากเป็นความต้องการของ สส . ๒๐ คน และโดย คำวินิจฉัยของรัฐสภา โดยมีมาตรา ๒๙ " การจำกัดสิทธิ์และเสรีภาพของประชาชนที่กฎหมายรัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทำมิ ได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้ กำหนดไว้ และเท่าที่จำเป็นเท่านั้น " คำถามก็คือ " อะไรคือเท่าที่จำเป็น ??? "

วรรค ๒ ตอนท้าย " ทั้งต้องระบุบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจในการตรากฎหมายนั้นด้วยวรรคท้าย บทบัญญัติวรรคหนึ่ง และวรรคสอง ให้นำมาใช้บังคับกับ กฎ หรือข้อบังคับที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายด้วย โดยอนุโลม "

คำว่า " บทบัญญัติแห่งกฎหมาย " นั้น ในรัฐธรรมนูญฉบับ " วาติกัน " จะหมายเอาเฉพาะกฎหมายอันร่างขึ้นตามรัฐธรรมนูญนี้ ( กฎหมายลูก ) ไม่ใช่หมายถึง กฎหมายอาญา แพ่ง หรือประมวลกฎหมายอื่น เพราะมีกำหนดไว้ใน หมวด ๑ มาตรา ๖ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดแห่งกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัด หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้น เป็นอันใช้บังคับมิได้ เป็นการเขียนข้อความให้คนสับสนในคำว่า ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คนก็คิดว่ามีกฎหมายป้องกันอยู่แล้วแต่เดิมคงไม่เป็นไร แต่อันที่จริงแล้ว กฎหมายเหล่านั้นใช้ไม่ได้เลย ต้องเป็นกฎหมายที่ร่างภายใต้รัฐธรรมนูญนี้เท่านั้น ยกเว้นเสียแต่ว่า หากไม่มี หรือไม่ได้กล่าวถึงหรือบัญญัติในกฎหมายลูกก็ใช้กฎหมาย หรือประมวลกฎหมายอื่นไปพลางก่อนตาม มาตรา ๗ ซึ่งวันดีคืนดีศาลรัฐธรรมนูญอาจยกเลิกกฎหมายได้ทุกเวลา นี่คือเผด็จการเบ็ดเสร็จ เป็นการเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติสามารถใช้ประโยชน์โดยการใช้เงิน ซื้อกฎหมาย โดยออกกฎหมายตามที่ตนเองเพื่อให้สามารถรองรับ ระบอบของประเทศมหาอำนาจที่ร่วมมีผลประโยชน์ในประเทศไทย สามารถใช้รัฐธรรมนูญนี้ในระบบซื้อกฎหมาย (Lobby) ได้นั่นเอง

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Gold Technical Analysis.......

Dowjones.......The Coming Crash

ท่านใดที่ต้องทำงานใกล้ชิดกับ DJI หรือ ดัชนีดาวน์โจนส์ ลองดูกราฟเทคนิคชุดนี้ครับ คงพอจะเห็นเค้าลางและมองออกว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นในอีกไม่ช้านี้ แต่ครั้งนี้ความรุนแรงน่าจะมากกว่าปลายปี 2008 และดัชนี้น่าจะลงลึกกว่าการ Crash ครั้งที่แล้วมากๆ ครับ ส่วนผลกระทบที่จะมาถึงตลาดหุ้นทั่วโลกและบ้านเราคงหลีกเลี่ยงได้ยาก ถ้ายังอยู่ในตลาดหุ้นไทยควรมองทางหนีทีไล่ไว้บ้างครับ

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Gold Technical Analysis.......

อัพเดตข้อมูลข่าวสาร.......โพสต์นี้เลยครับ

โพสต์นี้เปิดไว้เพื่อให้เพื่อนๆได้ฝากข่าวสาร ข้อมูลและ Update ความเคลื่อนไหวของราคาทองคำ  รวมทั้งความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมโลกที่จะส่งผลกับเราในอนาคต   

โพสต์นี้จะ ถูกส่งขึ้นมาโดยอัตโนมัติในทุกวันทำการของตลาดครับ.......

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Gold Technical Analysis.......

อัพเดตข้อมูลข่าวสาร.......โพสต์นี้เลยครับ

โพสต์นี้เปิดไว้เพื่อให้เพื่อนๆได้ฝากข่าวสาร ข้อมูลและ Update ความเคลื่อนไหวของราคาทองคำ  รวมทั้งความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมโลกที่จะส่งผลกับเราในอนาคต   

โพสต์นี้จะ ถูกส่งขึ้นมาโดยอัตโนมัติในทุกวันทำการของตลาดครับ.......

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Gold Technical Analysis.......

Why Gold & Silver.......by Mike Maloney

ประเด็นร้อนๆ.......Oil Rig

บางฉากบางตอนจากหนังฮอลลีวู๊ดเรื่อง " Knowing " คงพอจะบอกได้แล้วครับ ว่าใครหรืออะไรที่ทำให้แท่นขุดเจาะน้ำมันขนาดยักษ์ของบริษัท BP ระเบิดในอ่าวเม็กซิโก แล้วทำให้มีน้ำมันดิบพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินใต้มหาสมุทรที่ระดับความลึก 15 กิโลเมตรสู่ผิวน้ำ ขึ้นสู่อ่าวเม็กซิโกในปริมาณมหาศาลมากถึง  95,000 แกลลอนต่อวันซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 5,000 แกลลอนต่อวันถึง 19 เท่า ซึ่งดูเหมือนว่าความพยายามที่ล้มเหลวอย่างต่อเนื่องอาจจะหยุดหายนะนี้ไม่ได้ครับ แล้วน้ำมันดิบปริมาณมหาศาลเหล่านี้จะทำลายสภาพแวดล้อม สิ่งมีชีวิต ทัศนียภาพ เศรษฐกิจโดยเฉพาะการประมงซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญ การท่องเที่ยว แม้แต่ชีวิตของผู้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบทั้งหมด และคงใช้เวลาอีกไม่กี่วันที่คราบน้ำมันเหล่านี้จะเริ่มเข้าสู่ชายฝั่งของรัฐฟลอริด้าครับ


 
 

อัพเดตข้อมูลข่าวสาร.......โพสต์นี้เลยครับ

โพสต์นี้เปิดไว้เพื่อให้เพื่อนๆได้ฝากข่าวสาร ข้อมูลและ Update ความเคลื่อนไหวของราคาทองคำ  รวมทั้งความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมโลกที่จะส่งผลกับเราในอนาคต   

โพสต์นี้จะ ถูกส่งขึ้นมาโดยอัตโนมัติในทุกวันทำการของตลาดครับ.......

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Gold Technical Analysis.......

อัพเดตข้อมูลข่าวสาร.......โพสต์นี้เลยครับ

โพสต์นี้เปิดไว้เพื่อให้เพื่อนๆได้ฝากข่าวสาร ข้อมูลและ Update ความเคลื่อนไหวของราคาทองคำ  รวมทั้งความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมโลกที่จะส่งผลกับเราในอนาคต   

โพสต์นี้จะ ถูกส่งขึ้นมาโดยอัตโนมัติในทุกวันทำการของตลาดครับ.......

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ระดมความคิดแก้วิกฤติชาติ....... " 5/7 เมื่อถึงวันสิ้นชาติ ไม่มีโอกาสแก้ตัว "

ทำลายภูมิคุ้มกันของประเทศ 

ปฏิบัติการยึดครองแบบเบ็ดเสร็จ ใน ปี พ . ศ . ๒๕๓๓ ประเทศในยุโรปประกาศรวมตัวกัน จะเลิกใช้เงินตราสกุลดอลล่าห์ของสหรัฐอเมริกาเป็นเงินสำรองประเทศ เพราะเงินดอลล่าห์เป็นกระดาษเปล่าไม่มีทองคำสำรอง โดยที่ประชุมของสหภาพยุโรปได้มีมติจะใช้เงินสกุลใหม่เรียกว่า " เงินยูโร " ซึ่งมีทองคำสำรอง ภาวะการดังกล่าวจึงทำให้ประเทศอเมริกาตกสู่ภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ ธนาคาร กว่า 2,000 แห่ง ธุรกิจกว่า 1 ล้านบริษัท และฐานปฏิบัติการทางทหาร 450 แห่งต้องปิดตัวลง เนื่องจากขาดเงินงบประมาณ นั่นหมายถึง " นักธุรกิจคาทอลิก " หลายสิบล้านคน ต้องประสบกับภาวะหายนะ ทำให้รายได้และผลประโยชน์ของ " วาติกัน " ลดน้อยลงดังนั้นจึงต้องมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยใช้แผนยึดครองอย่างเบ็ดเสร็จ

พล.อ.ชาติชาย ชุณหวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ถูกเรียกตัวไปพบประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพื่อรับนโยบายเศรษฐกิจ ( ซึ่งแผนพัฒนาเศรษฐกิจดังกล่าวนั้น เมื่อปฏิบัติแล้วจะเกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติการขององค์กรจัดตั้งตามแผนของ " วาติกัน " ได้อย่างต่อเนื่อง ... ผู้เขียนได้รับทราบเรื่องนี้ด้วยตนเอง ได้ให้การต้อนรับ พล.อ. ชาติชายที่อเมริกาด้วย ) ด้วยมาตราการนี้จึงทำให้ นายชวลิต ธนะนันท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศ รับนโยบายของ IMF ( สำหรับนายชวลิต ธนะนันท์ ได้รับการอบรมโดยตรงในระบบการเงินเสรีแบบทุนนิยม IMF) จึงถูกกำหนดให้เป็นผู้ผลักดันให้การรับมาตรา ๘ IMF "เปิดตลาดการเงินเสรี " ทั้ง ๆ ที่ไทยไม่พร้อม
( นายอำนวย วีรวรรณ รมว. คลัง และมาเป็น รมว. คลัง สมัย พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ ) 

หลักการโดยรวมเรียกว่า "หลักของพันธะ IMF ตามมาตรา ๘" คือ
๑ . การยกเลิกการกำกัดชำระ และโอนเงินเพื่อธุรกรรมด้านการค้าระหว่างประเทศ ( หมวด ๒ )
๒ . ห้ามใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลำเอียง (Discriminatory Currency Practices)
๓ . ห้ามใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนหลายอัตรา (Multiple Currency Practices) โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกองทุน ( หมวด ๓ )

และในหมวด ๕ ยังกำหนดให้ประเทศไทยต้องเปิด เผยข้อมูลสำคัญอันเป็นความลับสำคัญทางการเงินของชาติ ให้กับ IMF อย่างไม่มีการปิดบัง คือ
ก. ข้อมูล ทุกประเภทเกี่ยวกับทองคำสำรองเงินตราของประเทศไทย
ข. ดุลการชำระเงินระหว่าง ประเทศ
ค. รายได้ทั้งสิ้นทั้ง การผลิตทางเกษตร ทางอุตสาหกรรม การค้า และการบริการ ทุกประเภท
ง. ดัชนีราคา สินค้าเข้า - ออก และดัชนีคาดการณ์
จ. ดัชนีอัตราแลก เปลี่ยนเงินตรา และการควบคุมปริวรรต

ทั้งนี้เมื่อ ประกาศรับพันธะเป็นทางการกับIMF แล้วประเทศ สมาชิกมีภาระที่จะต้องรักษาข้อผูกพันนี้และไม่อาจที่จะกลับไปใช้มาตราการ อื่นใดนอกจากข้อกำหนดนี้ได้โดยเด็ดขาด

ซึ่งโดยความเป็นจริง แล้วไทยแม้จะเป็นสมาชิกของ IMF แล้ว ก็ตาม แต่ไม่มีความจำเป็น หรือเหตุผลใดที่จะต้องรับมาตรา ๘ เพราะยังไม่พร้อม สามารถใช้มาตรา ๑๔ ซึ่งได้อนุญาตให้ประเทศสมาชิกดำเนินมาตราการกำกัดได้ต่อไปจนกว่าจะพร้อม ใช้มาตรา ๘

มาตรการ ของ IMF ดัง กล่าวข้างต้นนั้นล้วนแล้วแต่ขัดต่อประมวลกฎหมายอาญา หมวด ๓ ว่าด้วยความมั่นคงของไทย และ ระเบียบว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๑๗ อย่างเด่นชัดชนิดไม่ต้องตีความ และมีบทกำหนดโทษตามประมวล กฎหมายอาญา ว่า

มาตรา๑๒๔ " ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้ผู้อื่นล่วงรู้ หรือนำไปซึ่งข้อความ เอกสาร หรือสิ่งใด ๆ อัน ปกปิดไว้เป็นความลับ สำหรับความปลอดภัยของประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี"

ตามมาตรา ๘ ของ IMF นั้น บังคับให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องส่งข้อมูลที่ล้วนแล้วแต่เป็นความลับของ ประเทศที่ต้องปกปิดเพราะเป็นความปลอดภัยทางด้านความมั่นคงทางเศรษฐ กิจของชาติทั้งสิ้น ตัวบทกฎหมายของไทยได้ระบุบทลงโทษไว้อย่างแจ้งชัด ไม่ได้มีมติของรัฐสภาให้ความเห็นชอบในการเข้าสู่มาตรา ๘ ของ IMF ทั้ง สิ้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความผิดทางกฎหมาย เพียงแค่สำนึกความรักชาติอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะไม่กระทำเช่นนี้ให้ เกิดขึ้นได้

(ผลแห่งการต้องอยู่ภายใต้พันธะสัญญาข้อที่ ๘ นี้ ทำให้ ธนาคารชาติ ต้องเปิดเผยตัวเลขเงินสำรองของประเทศ รวมทั้งแผนการดำเนินงาน ฯลฯ ของระบบการคลังของไทยทั้งสิ้น ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ทางการเงินของ "ควันตัมฟันส์" ซึ่งเป็นหน่วยงานของ Gold Sacsh ภายใต้การสนับสนุนของประเทศมหาอำนาจ ใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีค่าเงินบาทในปี พ.ศ.2540 เพื่อให้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะการเป็นทาสที่ถูกยึดครองอย่าง ถาวรในเวลาต่อมา ตามสมการกลืนชาติ..

วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๓๓ ได้ออกมาตราการยกเลิกการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราขั้นที่ ๒ เปิดเสรีการโอนเงินไทยออกนอกประเทศมากขึ้น(จุดประสงค์เพื่อให้ทุนสำรองของประเทศ ของไทยลดน้อยลง) มีการออกกฎหมายอนุญาตให้นำทองคำ ซึ่งเป็นทุนสำรองของชาติ ออกนอกประเทศได้โดยไม่มีจำกัด ทองคำนับเป็นสินทรัพย์ที่ยอมรับกันทั่วโลกว่าสามารถเป็นทุนสำรองเงินตรา ในการใช้เพื่อแทนค่าธนบัตรที่พิมพ์ออกภายในประเทศ เมื่อประเทศใดไม่มีทองคำสำรองย่อมไม่สามารถพิมพ์ธนบัตรได้ ทำให้ประเทศไทยต้องพึ่งเงินดอลล่าห์ซึ่งเหมือนเศษกระดาษมาทดแทนทองคำเป็น เรื่องที่น่าอนาถใจเป็นอย่างยิ่ง

ไม่เพียงแต่เท่านั้น ในปี ๒๕๓๕ ยังมีการแก้และออกกฎหมายหลายประการในการลดอำนาจของธนาคารแห่งประเทศไทยทุกรูปแบบ พร้อมกับเพิ่มอำนาจให้กับธนาคารพาณิชย์โดยทั่วไปในการออกสินเชื่อ ยกเลิกการกำหนดเพดานดอกเบี้ยเงินฝาก ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากลอยตัว เงินดอลล่าห์จากต่างประเทศไหลเข้าอย่างมหาศาล แต่ทองคำอันเป็น Real Asset ของชาติกลับถูกถ่ายเทออกนอกประเทศจนไม่เหลือคงคลัง นอกจากเงินดอลล่าห์ที่ไม่มีค่าไปกว่าเศษกระดาษ ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มบุคคลที่ "วาติกัน" ได้วางตัวไว้แล้วนั้นเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้นำทางการเมือง ปฏิบัติการต่อเนื่องตามแผนสามประสาน(Triniti) โดยการเปิด BIBF เพื่อสร้างหนี้ให้กับประเทศไทย เป็นการระบายเงินดอลล่าห์แปลสภาพให้เป็นทรัพย์สินถาวรของประเทศไทยได้โดยสะดวก
 
หมายเหตุ : พล.อ.ชาติชาย ชุนหวัณ นายอานันท์ ปันยารชุน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นเพื่อนร่วมชั้นเดียวกัน รุ่น "ลมหวน" โรงเรียนอำนวยศิลป์ เป็นรุ่นพี่สองรุ่นของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร พล.อ.ต.สม บุญ ระหง จึงอาจจะเป็นคำตอบได้บางประการว่าเหตุใดจึงมีการส่งพินัยกรรม ทาง การเมืองกันเป็นทอด ๆ จะเรียกว่านี่คือ " การ แสดงเกมส์โชว์หลอกคนไทยทั้งประเทศ" ก็ได้

พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ กับ รัฐธรรมนูญ พ . ศ . ๒๕๔๐ 

จากหลักฐาน และข้อกฎหมาย และพฤติกรรมและความเชื่อมโยงสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกลุ่มบุคคล NGO ที่เคลื่อนไหวให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญของนายประเวศ วสี กับนายอานันท์ ปันยารชุนซึ่งทำได้สำเร็จในสมัยของ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี นั้น สามารถพิสูจน์ได้ว่า "รัฐธรรมนูญฉบับ พ . ศ . ๒๕๔๐ คือรัฐธรรมนูญฉบับวาติกัน" และสำคัญที่สุดคือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้บัญญัติขึ้นเพื่อริดรอนพระราชอำนาจ ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์และล้มล้างพระพุทธศาสนา อันเป็นรากฐานขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมไทย ทั้งสิ้น
ตามที่ได้นำเสนอมาแต่ต้นนั้น จะเห็นได้ว่า "โรมันคาทอลิก" คืออาณาจักรหนึ่งที่แฝงอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ใน มาตรา ๑ " ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร อันหนึ่งอันเดียวกันจะแบ่งแยกมิได้ " โดยคำว่า " ราช อาณาจักร" หมายความว่า เป็นแผ่นดินของพระราชา ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขซึ่งจะแบ่งแยกมิได้ " คำว่า " ประเทศไทย " มิได้หมายความว่าเป็นเพียงรั้ว หรือ อาณาเขต พื้นที่ประเทศ ตามที่ปรากฏกันตามแผนที่ภูมิศาสตร์เท่านั้น แต่หมายความรวมไปถึงความเป็นชาติ ความเป็นไทยทั้งหมด ซึ่งนั้นคือ ประชาชน ขนบธรรมเนียมประเพณี ศาสนา วัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของไทย ภาษาท้องถิ่นในประเทศไทยด้วย ฉนั้นเมื่อรวมความในมาตรา ๑ แล้ว เราก็จะมีความเข้าใจถูกต้องตรงกันว่า ประเทศไทยนี้จะแบ่งแยกไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ชาติ ภาษา ศาสนา หรือการปกครองใด ๆ 

มาตรา ๒ " ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข " 

ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข และพระประมุขของเราอันเป็นพระมหากษัตริย์ที่ไม่เหมือนกับพระมหากษัตริย์ของ ประเทศอื่นใดในโลก เพราะเป็นที่ยอมรับกันทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกว่า พระมหากษัตริย์ไทย ทรงเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์ ที่เป็นดังนั้นก็เพราะว่าความเป็นหนึ่งอันเดียวกัน ของสถาบันกษัตริย์กับประชาชนจะแบ่งแยกจากกันไม่ได้ การถวายความจงรักภักดี การพลีชีพถวายชีวิตเป็นราชพลี การถวายสักการะที่ประชาชนคนไทย จะต้องน้อมถวายให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ ฉนั้นจึงถือว่า พระมหากษัตริย์ของไทยนั้นเป็นพระประมุขที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้ อันปรากฏตามมาตรา ๖ แห่งรัฐธรรมนูญนี้ 

 
มาตรา ๓ " อำนาจ อธิปไตย เป็นของ ปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ "



นี่คือวิธีการให้ NGO ที่ได้วางแผนโดยนายอานันท์ ไปลงนามเปิดทางไว้ล่วงหน้า เพื่อให้จัดตั้ง NGO ขึ้นในประเทศไทยได้นั้น เข้ามาใช้อำนาจบริหาร ปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้การรับรององค์การเอกชนอยู่ใน มาตรา ๔๕ " บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันเป็นองค์การเอกชน หรือหมู่คณะอื่น การจำกัดสิทธิจะกระทำมิได้ " และองค์กรเอกชนนี้มีอำนาจเข้ามาดูแลอำนาจรัฐ ดูแลอำนาจบริหารได้ดังปรากฏใน มาตรา ๕๖ " สิทธิของบุคคลที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐ และชุมชนในการบำรุงรักษา และการได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สวัสดิภาพและคุณภาพชีวิตของตนย่อมได้รับความคุ้มครอง " มาตรา ๕๗ " องค์กรอิสระประกอบด้วยตัวแทนทำหน้าที่ให้ความเห็นในการตรากฎหมาย และข้อบังคับ และให้ความเห็นในการกำหนดมาตราการต่าง ๆ " เกี่ยวกับกรณีที่ประชาชนในท้องถิ่น จะต้องมีการดูแลว่าด้วยการใช้ทรัพยากรของต่าง ๆ " รัฐ " ก็อนุญาติให้ดำเนินการโดยมีองค์กรอิสระ หรือที่เราเรียกว่ากลุ่ม NGO เข้ามาดูแลให้คำปรึกษา และคุ้มครองผู้บริโภค ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ในชุมชนต่าง ๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นการปกครองตนเองในลักษณะของ อบต . อบจ . ในปัจจุบันก็ดี หรือในชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมก็ดี ดังที่เขียนไว้ใน
 
มาตรา ๔๖ " บุคคล ซึ่งรวมตัวกันเป็นชุมชนท้องถิ่น ... มีส่วนร่วมในการจัดการ ... และการใช้ประโยชน์ในทรัพยากร ... "
มาตรานี้คือการให้ประชาชนเข้ามามีอำนาจปกครองตนเอง มีสภาท้องถิ่นแห่งตนเอง มีผู้บริหารท้องถิ่นของตนเอง และมีองค์กร ( NGO) เล็ก ๆ เหล่านี้แหละ ซึ่งอาจจะเป็นชาวต่างชาติก็ได้ มาเป็นปากเป็นเสียงให้เพิ่อต่อรองกับทางราชการเพื่อใช้อำนาจอธิปไตยในการบริ หาร

ต่อมาหลังจากที่ได้รับการพัฒนาเจริญเติบโตจนเป็นองค์กรใหญ่แล้ว รัฐธรรมนูญนี้ยังบัญญัติให้ประชาชนผู้มีสิทธิที่เข้าใช้อำนาจบริหารนี้มา ตรวจสอบอำนาจรัฐ ซึ่งจะบัญญัติไว้ดังนี้ หมวด ๕ ว่า ด้วยแนวนโยบายของรัฐ มาตรา ๘๙ " เพื่อ ประโยชน์ในการดำเนินการตามหมวดนี้ ให้รัฐจัดให้มีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจและสังคม แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ แผนอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ ต้องให้สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ความเห็นก่อนพิจารณาประกาศใช้ องค์ประกอบ ที่มา อำนาจหน้าที่ และการดำเนินงานของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ"
ความ หมายคำว่า "รัฐ" ตามมาตรา ๘๙ นี้หมายถึง "รัฐบาล" รัฐบาล ที่เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินตามหมวด ๕ นี้ จะต้องมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งแต่เดิมการร่างนโยบายของรัฐบาลได้กระทำโดยอิสระ เพราะมีสภาพัฒนาการและเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ เข้ามาเป็นผู้ดูแล เป็นผู้รวบรวม 


แผนงานโครงการ การดำเนินการทั้งลับและไม่ลับของหน่วยราชการทั้งหมดของประเทศ มาทำเป็นร่างในการพัฒนาประเทศ นั่นคือการบริหารโดยองค์กรของรัฐ ในมาตรา ๗๘ มาตรา ๘๙ ได้สร้างให้มีองค์กรหนึ่งขึ้นมา เรียกว่าสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายอานันท์ เข้ามาควบคุมตรงนี้) ขึ้น มาคอยตรวจสอบดูแลให้ความเห็นชอบร่างนโยบายของรัฐบาล 

นี่เป็นการเข้ามาใช้อำนาจอธิปไตยในการบริหาร และที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ที่สุดในรัฐธรรมนูญนี้ก็คือ บุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในตำแหน่งต่าง ๆ ทุกระดับ หรือที่มาที่ไปของ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไม่มีการระบุคุณสมบัติ เชื้อชาติ ว่ามีที่มาที่ไปจากไหนอย่างไร ทั้ง ๆ ที่เป็นการเข้ามาเกี่ยวข้องกับระบบราชการ ทั้งที่เป็นความลับและไม่เป็นความลับ ซึ่งแน่นอน ในมาตรา ๘๙ เองก็มิได้มีข้อห้ามว่า ชาวต่างชาติจะเข้ามาในจุดนี้ไม่ได้ จึง เป็นเรื่องอันตรายที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นลักษณะการแอบซ่อนไว้ เพราะไม่มีกล่าวถึงอีกเลยในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เหมือนกับUFO ที่เห็นแว๊บเดียวหายยังไงก็ยังงั้น เป็นการเปิดช่องให้มีการพลิกแพลงได้ในอนาคต เพราะองค์กรนี้จะมีอำนาจในการเรียกดูแผนงานทุกชนิด จากทุกหน่วยงาน ไม่เลือกเว้นแม้กระทั่งกองทัพ หรือ สภาความมั่นคงแห่งชาติ ก็ต้องแสดงรายการหรือรายละเอียดของงบประมาณ หรือแผนงานว่าจะนำเงินไปใช้อะไรบ้าง ฉนั้นหากว่าองค์กรนี้มีบุคคลอันเป็นชาวต่างชาติ หรือผู้ที่มีผลประโยชน์แฝงด้วยประการใด ๆ นั่นหมายถึงความมั่นคงของชาติในทุก ๆ ด้านจะไม่มี 

นี่เป็นสาเหตุหนึ่งในความพยายามที่จะเลิก พ.ร.บ.คอมมิวนิสต์ พ.ศ.๒๔๙๕ อีกส่วนหนึ่งด้วย ที่น่าสังเกตก็คือ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในมาตรานี้ ไม่มีบันทึกอยู่ในบันทึกการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๑๑๔ ตอน ๔๓ ง/ ๒๙ พุทธศักราช ๒๕๔๐ ในส่วนของหลักการและสาระสำคัญที่เพิ่มเติมใหม่ มิได้มีไว้ ทั้งๆที่หน่วยงานนี้มีหน้าที่ที่ จะต้องพิจารณางบประมาณของหน่วยราชการทุกหน่วย จุดที่ซ่อนเร้นอันตรายอยู่ตรงคำว่า "แผนอื่นตามที่ กฎหมายบัญญัติ" นั้นย่อมหมายรวมถึง โครงการทุกอย่างที่ใช้เงินตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ 

ดังนั้นโครงการในลักษณะปกปิดหรือเป็นความลับสุดยอดของชาติ จะต้องส่งให้สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้ความเห็นก่อนทุกครั้งและเนื่องจากไม่มีกฎหมายในรัฐธรรมนูญรองรับว่าบุคคล ในสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามมาตรานี้มีคุณสมบัติหรือคุณวุฒิ สัญชาติหรือเชื้อชาติใด จึงนับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของชาติ อย่างหลีกเลี่ยงมิได้

ร่วมด้วยช่วยกัน...โครงการ Adsense เพื่อบ้านเด็กชัยพฤกษ์ 2/2

ดร.เคลียวพันธ์...ป้าหมอของเด็กๆ

U1.jpgถ้าเราไม่พร้อมที่จะให้ เราก็คงทำตรงนี้ไม่ได้ เราต้องอุทิศตัว อุทิศเวลา อุทิศความสุขส่วนตัวทั้งหมดเพื่อเด็กค่ะ” ปัญหาเด็กถูกทอดทิ้งได้ กลายเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมไทยไปเสียแล้ว แต่จะมีสักกี่คนที่หยิบยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลืออุปการะเด็กผู้น่า สงสารกลุ่มนี้ นับเป็นโชคดีที่มีผู้หญิงใจดีคนนึงแตกต่างจากคนทั่วไป ที่ไม่ใช่ให้แค่ความสงสาร แต่ต้องการพลิกชีวิตเด็กกลุ่มนี้ให้มีคุณค่าทัดเทียมใครๆ ในสังคม พญ.ดร.เคลียวพันธุ์ สูรพันธุ์ หรือที่เด็กๆ มักเรียกกันว่าป้าหมอ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สาขาสูตินรีเวช โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ป้าหมอเป็นลูกครึ่งไทย_DSC0388.jpg-เยอรมัน ที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศเยอรมันนานกว่า 20 ปี เมื่อลุงหมอ สามีชาวไทยเกษียณอายุ ต้องการกลับมาใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายที่เมืองไทย และเมื่อกลับมาทั้งคู่พบว่ามีปัญหาเด็กถูกทอดทิ้งจำนวนมาก คิดอยากจะช่วยเหลือ จึงจัดตั้ง “มูลนิธิชัยพฤกษ์” ขึ้น โดยรับอุปการะเลี้ยงดูเด็กด้อยโอกาสทั้งหลาย ซึ่งในครั้งนี้เราได้เดินทางไปยังอำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก เพื่อไปพูดคุยกับป้าหมอ...แม่พระของเด็กๆ กันค่ะ
 

ที่มาของ “บ้านเด็กชัยพฤกษ์”
 
“ด้วยเพราะความสงสารค่ะ คือเราสองคนอยู่เยอรมันด้วยกันมา 20 กว่าปี พอกลับมาเมืองไทยได้อ่านหนังสือพิมพ์เห็นเด็กโดนทิ้ง ป้าหมอก็เลยรู้สึกสะเทือนใจ ก็คิดว่าถ้าเราอยากจะช่วยก็ควรจะช่วยไม่ต้องรอจนวันที่เรามีเงินมีทองมากมาย เหมือนเห็นคนตกน้ำไม่อยากคอยว่าต้องรอให้ชั้นมีทุกอย่างพร้อมก่อนถึงจะช่วย ก็อยากจะยื่นมือไปฉุดเค้ามาเลย พอดีกับเมื่อปี พ.ศ. 2528 ป้าหมอไปที่โบสค์คริตสจักรแล้วก็ไปเจอมิชชันนารีคนนึง บอกว่าอยากทำบ้านเด็กกำพร้า เราก็เลยเสนอตัวว่าอยากทำมากๆ เลย ก็เลยเหมือนกับช่วยกันก่อตั้งมูลนิธิชัยพฤกษ์ สร้างบ้านชัยพฤกษ์ขึ้น โดยการเช่าบ้านแล้วพาเด็กๆ มาอยู่รวมกัน เราก็ดูแลเค้าอย่างดีเท่าที่จะทำได้
 

...ตอนแรกเริ่มก็มีเด็กไม่กี่คนค่ะ เป็นเด็กที่รับผ่านกรมประชาสงเคราะห์บ้าง รับผ่านโดยการบอกปากต่อปากบ้าง ส่วนใหญ่เด็กพวกนี้พ่อไม่มีอยู่แล้วล่ะค่ะ แม่ก็จะเป็นเด็กผู้หญิงที่ยังไม่มีความพร้อมแล้วบังเอิญตั้งครรภ์ขึ้นมา อาจจะโดนกระทำชำเรา หรือว่าตั้งครรภ์แล้ว แฟนก็หนีไปบ้าง  เมื่อเราบอกว่าพร้อมที่จะช่วยเด็กประเภทนี้ เค้าก็จะติดต่อเข้ามา
 

...เราร่อนเร่อยู่ในกรุงเทพฯ ประมาณ 5 ปีค่ะ คือต้องย้ายบ้านกันไปเรื่อยๆ เพราะว่าลูกเราแยะ ชาวบ้านเค้าก็หนวกหู แล้วเรามีสัญญาเช่าบ้านกันปีต่อปี พอหมดปีเค้าก็ไม่ให้ต่อค่ะ _DSC0391.jpgจากชัยพฤกษ์ก็ย้ายไปพหลโยธิน ก็ย้ายไปเรื่อยๆ ที่ปัจจุบันนี่เป็นแห่งที่ 5 ค่ะ แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ต้องให้ย้ายบ้านอีกแล้ว เพราะพอเราย้ายเรื่อยๆ เราก็มีความรู้สึกสงสารเด็ก เค้าจะไม่รู้ว่าบ้านเค้าอยู่ตรงไหน เค้าโตมาจากไหน แล้วเราก็ไม่มีเงินพอที่จะซื้อบ้านในกรุงเทพฯ ด้วย แต่วันนึงป้าหมอก็จำได้ว่ามีที่ดินมรดกอยู่ที่นครนายก จึงตัดสินใจย้ายมาอยู่กันที่นี่ โดยในพื้นที่บ้านเด็กประมาณ 10 ไร่ แต่ที่นามรดกทั้งหมดรวม 250 ไร่ค่ะ”
 

มีเงื่อนไขในการรับเด็กไหมคะ

“การที่จะกรองเด็กตรงนี้ ป้าหมอก็จะดูว่าเค้ามีความจำเป็นจริงๆ  จะกรองโดยการสัมภาษณ์พ่อแม่เด็กค่ะ จริงๆ แล้ว เด็กแต่ละคนก็มีประวัติที่น่าสนใจแตกต่างกันค่ะ อย่างเด็กคนนึงเค้ามีปัญหากับครอบครัว คุณพ่อเค้าเสีย ก็มีพ่อเลี้ยง ทั้งพ่อทั้งแม่ก็ติดเหล้า บางครั้งก็ทำร้ายลูก เด็กก็จะหนีจากออกบ้าน ทางมูลนิธิสลัมคลองเตยก็ติดต่อเรามา ตอนแรกที่มานั้น เด็กคนนี้มีปัญหามากกว่าคนอื่นในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องภาษา เพราะเค้าไม่ได้รับการปลูกฝังเรื่องความประพฤติที่ดีงาม แต่ตอนนี้เค้าน่ารักมากค่ะ พูดจาไพเราะเชียว

...อีกรายก็แม่เลี้ยงลูกไม่ไหว อันที่จริงตัวแม่เองก็มีอาชีพที่ค่อนข้างดีมาก  แต่เค้าไม่มีปัญญาที่จะดูแล เค้าก็จ้างคนเลี้ยงลูก แล้วก็ไม่มีสตางค์ส่งต่อ เค้าก็เลยมาพึ่งเรา เพราะว่ามาให้เราไม่ต้องให้เงิน แล้วลูกก็ได้ทุกอย่าง
...ที่จริงป้าหมอก็คิดว่าเวลามีสื่อมาทำข่าวก็หวังว่าจะได้รับเงินบริจาคมาก ขึ้น  แต่ที่ไหนได้กลายเป็นมีคนติดต่อจะให้เด็กทั้งนั้น เพราะเห็นว่าเรารักเด็ก เราเลี้ยงดูเด็กอย่างดีค่ะ”
 

ความเป็นอยู่ของเด็กๆ ในบ้าน
 
“เรารักเค้าก็ต้องให้เค้าเหมือนกับที่ลูกเราได้ค่ะ เด็กที่นี่ต้องได้รับการเรียนหนังสือค่ะ ต้องได้เรียนเหมือนเด็กคนอื่นๆ เค้าต้องได้รับการดูแลร่างกายที่ดีเหมือนเด็กคนอื่นๆ ทั้งการดูแลจิตใจ และการดูแลจิตวิญญาณ อาจจะดีกว่าเด็กคนอื่นๆ ด้วย เพราะความที่เราเป็นแพทย์และเราเป็นชาวคริสเตียน ป้าหมอก็จะเน้นการเจริญเติบโตของร่างกาย 3 อย่างนี้พร้อมๆ กัน บางครอบครัวอาจจะไม่ได้นึกถึงเลย อาจจะคิดแค่ว่าให้ลูกอิ่มก็เพียงพอแล้ว เราต้องให้เค้าอิ่มใจแล้วก็อิ่มทางจิตวิญญาณด้วย เมื่อโตขึ้นเค้าจะได้ไม่มีปัญหา ว่าสุขภาพจิตไม่ดี สุขภาพจิตหวั่นไหว เหมือนเราสร้างภูมิต้าน_DSC0398.jpgทานสำหรับสังคมภายนอกที่กำลังใช้เด็กเป็น เครื่องมือ
...เด็กๆ ที่นี่ก็จะเรียนที่เดียวกันหมดคือ โรงเรียนอนุบาลองครักษ์ค่ะ และถ้าเค้ามีความสามารถพอ เค้าก็จะเรียนได้ถึงระดับมหาวิทยาลัยค่ะ หลายคนก็กำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ค่ะ ค่าใช้จ่ายก็สูงมาก เพราะว่าพวกนี้เค้าจะต้องออกไปอยู่หอ เราก็ช่วยเค้าจนกว่าเค้าจะเรียนจบค่ะ”
 

ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนล่ะคะ 
 
“เดือนๆ นึง ป้าต้องมีค่าใช้จ่ายให้เค้าประมาณแสนห้าค่ะ เป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน ค่าเล่าเรียน สารพัดค่ะ ก็เป็นเงินส่วนตัวของป้าหมอกับลุงหมอค่ะ ถ้าถามถึงเงินบริจาค ตอนนี้น้อยมากค่ะ แย่มาก บางเดือนก็ไม่มีเลยด้วยซ้ำ อาจจะเป็นไปได้ที่เราไม่ได้ทำการประชาสัมพันธ์เลย เพราะว่าเราไม่มีเงินตรงนี้ แต่คนที่รู้จักเราก็เยอะนะคะ แต่ด้วยความที่ทุกคนพยายามประหยัดกัน ก็เลยใช้เฉพาะที่จำเป็นจริงๆ
...ก็มีคนมาทักนะคะ เป็นเพื่อนที่รักกันมาพูดว่า นี่เธอจะบ้าเหรอไงมาทำแบบนี้ แต่ป้าหมอรู้ว่านี่คือความสุขของป้า เพราะสิ่งที่ป้าทำคือทำถวายพระเจ้า รู้ว่าพระเจ้าเรียกให้เรากลับมารับใช้ประเทศชาติ คือป้าบอกลุงหมอไว้เลยว่าถ้าไม่ได้ทำตรงนี้แล้วเราจะมาอยู่เมืองไทยทำไมกัน เพราะเราอยู่ที่เมืองนอกสบายกว่าเยอะ ซึ่งป้าหมอก็ภูมิใจค่ะ ที่ลุงหมอเองก็รักเด็กๆ มากเหมือนกัน”
 

รายจ่ายมากขนาดนี้...ลำบากมากไหมคะ 
 
“ไม่ลำบากหรอกค่ะ คือป้าหมอมีความเชื่อในพระเจ้า และรู้ว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งลูกของพระองค์ อย่างเช่นนกในอากาศมันก็ไม่ได้สะสมอะไร แต่มันก็อยู่ได้ ถ้าเราคิดได้แบบนั้นเราก็สบายใจ ถึงแม้ว่าการบริจาคเงินจะน้อยลง แต่คนที่บริจาคอาหารก็ยังคงมี แล้วก็มีมาอย่างต่อเนื่องไม่ให้เราอดอยาก
...แล้วเราก็จะมีวิธีหารายได้ของเรา คือ เราไม่อยู่นิ่ง เราไม่สอนให้ลูกขี้เกียจ ลูกๆ ทุกคนต้องช่วยตัวเองให้ได้  อย่างเด็กๆ เนี่ย ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี พี่ก็ดูแลน้องด้วย แต่งตัวให้เรียบร้อยลงมารับประทานอาหาร แล้วก็เตรียมพร้อมไปโรงเรียน ป้าก็คอยสอนให้เค้าปลูกผักปลูกต้นไม้ ทำสวน เด็กๆ ทุกคนเค้าเก่งมากเลยค่ะ เวลาที่ป้าออกไปเก็บผักบุ้ง เค้าก็ไปช่วยเก็บค่ะ ก็ช่วยๆ กันทำ แล้วก็เอาไปขาย เอาไปทานที่บ้านด้วย ผักที่เราช่วยกันปลูกก็มีผัก_DSC0405.jpgหวาน คะน้า แตงกวา หลายอย่างค่ะ
...ป้าหมอก็จะเข้ามาบ้านชัยพฤกษ์อาทิตย์ละ 3 วัน วันพุธ เสาร์และอาทิตย์ค่ะ แต่งานที่โรงพยาบาลก็ทำทุกวัน ก็แทนที่หมอท่านอื่นเค้าจะไปตีกอล์ฟกันก่อนเข้าโรงพยาบาล ป้าถือว่าเด็กพวกนี้คือกอล์ฟของป้า ที่ป้าคอยสอนให้เค้าเป็นคนดี แทนที่จะไปออกกำลังกาย ป้าหมอก็มาสอนเค้านวดขนมปัง พาย มัฟฟิน คุกกี้ พวกเบเกอรี่ต่างๆ เอาไปช่วยกันขายค่ะ ก็มีรายได้เพิ่มขึ้นมาอีกส่วนนึง นอกเหนือจากการขายผักผลไม้”
 

ได้อะไรจากการเป็นป้าหมอของเด็กๆ  คะ 
 _DSC0442.jpg
“มีความสุขมากค่ะ มีความรู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยจากงานมา เมื่อมาอยู่ตรงนี้ เรายิ้มได้ เราหายเหนื่อยแล้วมีความรู้สึกว่าได้เห็นเด็กๆ มีความสุขเมื่อเค้าเห็นเรา นอกจากนั้นก็เหมือนมาล้างปอดด้วย เพราะว่าอยู่ในกรุงเทพฯ หายใจไปก็ไม่ค่อยโล่งปอดเลย มาที่นี่กลับไปทำงาน ได้ทั้งกำลังใจ ได้ทั้งปอดที่สะอาดเพราะว่าที่นี่อากาศบริสุทธิ์กว่าอยู่ในกรุงเทพฯ เยอะเลยค่ะ บางทีป้าหมอมานอนที่นี่ แล้วเค้าก็จะแย่งกันรุมกอด จะแย่งกันนอนกับป้าหมอ ก็ ต้องแยกว่าคืนนี้ป้าจะนอนบ้านผู้ชาย อีกคืนนอนบ้านผู้หญิง
...เด็กพวกนี้ไม่ค่อยทะเลาะกันค่ะ เพราะป้าสอนให้เค้ารักกันมากๆ รักกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ ฉะนั้นพี่ๆ ที่โตแล้ว ออกจากที่นี่ไปเค้าจะรักกันมาก เวลามีก็ปัญหาจะช่วยเหลือกัน นั่นคือจุดประสงค์ของเรา เพราะป้าจะบอกเค้าเลยว่า ป้าหมออยู่กับเค้าไม่ได้นาน ไม่ได้ตลอด แต่พี่น้องในบ้านของเราจะอยู่ด้วยกันได้ยาวนานกว่า เพราะฉะนั้นลูกมาจากไม่มีครอบครัว นี่คือครอบครัวที่เราสร้างให้เค้าค่ะ”
 

อนาคตของเด็กๆ กลุ่มนี้

“ก็ฝากไว้กับพระเจ้าค่ะ ไม่ต้องไปวางอะไรเลยแล้วก็ไม่ต้องไปหวังอะไรเลย ขอให้เค้าเป็นแสงสว่างเป็นคนที่ทำสิ่งที่ดีๆ ให้สังคม ป้าหมอก็ชื่นใจแล้ว
...ที่จริงในอนาคตที่จริงป้าหมอมีโครงการเยอะมาก แต่ว่าทุกโครงการมันต้องใช้เงินเยอะ ตอนนี้คือให้เราอยู่รอดไปก่อน ไม่ต้องปิด ทำยังไงที่เราไม่ต้องปิดตัว เพราะว่าตอนที่เราเริ่มต้นกับตอนนี้มันจะคล้ายคลึงกัน คือเราไม่มีเงิน เราอยู่ด้วยของบริจาคทั้งหมดเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสารอาหารแห้งทุกชนิด โดยเฉพาะที่สำคัญคือเงินทุนการศึกษา และเพื่อการอยู่รอดค่ะ
...ป้าหมออยากฝากบอกให้พ่อแม่ทุกคนเลี้ยงลูกให้ดี อย่าเลี้ยงแต่กาย ขอให้ดูแลจิตใจ จิตวิญญาณของลูกด้วย ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อย่าทิ้งเค้าเพราะว่าลูกไม่ได้เลือกเกิด เราเป็นคนให้เค้าเกิดมาจากความสุขของเรา เพราะฉะนั้นให้คิดให้รอบคอบ การกระทำอะไรที่กระทบถึงลูก มันก็จะกระทบถึงสังคมส่วนใหญ่ด้วยค่ะ”
และทั้งหมดนี้เป็นชีวิตของผู้หญิงที่อุทิศเวลา แรงกายและใจทุ่มเทให้กับเด็กๆ กลุ่มนี้ แม้จะเหน็ดเหนื่อยสักแค่ไหน เธอก็บอกว่าไม่เคยคิดท้อ ขอแค่มีกำลังใจเท่านั้นเป็นพอ


“ก็มีคนมาทักนะคะ มาพูดว่า นี่เธอจะบ้าเหรอไงมาทำแบบนี้ แต่ป้าหมอรู้ว่านี่คือความสุขของป้า ที่ป้าอยากจะทำ”

หากท่านใดต้องการบริจาคช่วยเหลือ ‘บ้านเด็กชัยพฤกษ์’ ก็สามารถติดต่อนัดหมายกับป้าหมอได้ครับที่เบอร์โทร. 081-611-6261

Gold Technical Analysis.......

Commitment of Traders ( COT Report May 18, 2010 )

GOLD - COMMODITY EXCHANGE INC.
CFTC Commitment of Traders  
*Combined Futures and Options*May 21, 2010
Reportable Positions as of 05/18/2010 Non- Reportable Positions
Speculators Commercial Total
Long Short Spreading Long Short Long Short Long Short
297,077 22,308 205,389 249,133 573,430 751,598 801,128 84,415 34,886

Changes from last report - Change in Open Interest: 7,355
-6,335 -4,794 10,356 6,716 6,625 10,736 12,186 -3,382 -4,832

Percent of Open Interest for each category of traders
35.5 2.7 24.6 29.8 68.6 89.9 95.8 10.1 4.2

Number of traders in each category; Total Traders: 421
261 76 157 55 70 365 258    
(CONTRACTS OF 100 TROY OUNCES) Open Interest: 836,014