วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ระดมความคิดแก้วิกฤติชาติ....... " 5/7 เมื่อถึงวันสิ้นชาติ ไม่มีโอกาสแก้ตัว "

ทำลายภูมิคุ้มกันของประเทศ 

ปฏิบัติการยึดครองแบบเบ็ดเสร็จ ใน ปี พ . ศ . ๒๕๓๓ ประเทศในยุโรปประกาศรวมตัวกัน จะเลิกใช้เงินตราสกุลดอลล่าห์ของสหรัฐอเมริกาเป็นเงินสำรองประเทศ เพราะเงินดอลล่าห์เป็นกระดาษเปล่าไม่มีทองคำสำรอง โดยที่ประชุมของสหภาพยุโรปได้มีมติจะใช้เงินสกุลใหม่เรียกว่า " เงินยูโร " ซึ่งมีทองคำสำรอง ภาวะการดังกล่าวจึงทำให้ประเทศอเมริกาตกสู่ภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ ธนาคาร กว่า 2,000 แห่ง ธุรกิจกว่า 1 ล้านบริษัท และฐานปฏิบัติการทางทหาร 450 แห่งต้องปิดตัวลง เนื่องจากขาดเงินงบประมาณ นั่นหมายถึง " นักธุรกิจคาทอลิก " หลายสิบล้านคน ต้องประสบกับภาวะหายนะ ทำให้รายได้และผลประโยชน์ของ " วาติกัน " ลดน้อยลงดังนั้นจึงต้องมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยใช้แผนยึดครองอย่างเบ็ดเสร็จ

พล.อ.ชาติชาย ชุณหวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ถูกเรียกตัวไปพบประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพื่อรับนโยบายเศรษฐกิจ ( ซึ่งแผนพัฒนาเศรษฐกิจดังกล่าวนั้น เมื่อปฏิบัติแล้วจะเกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติการขององค์กรจัดตั้งตามแผนของ " วาติกัน " ได้อย่างต่อเนื่อง ... ผู้เขียนได้รับทราบเรื่องนี้ด้วยตนเอง ได้ให้การต้อนรับ พล.อ. ชาติชายที่อเมริกาด้วย ) ด้วยมาตราการนี้จึงทำให้ นายชวลิต ธนะนันท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศ รับนโยบายของ IMF ( สำหรับนายชวลิต ธนะนันท์ ได้รับการอบรมโดยตรงในระบบการเงินเสรีแบบทุนนิยม IMF) จึงถูกกำหนดให้เป็นผู้ผลักดันให้การรับมาตรา ๘ IMF "เปิดตลาดการเงินเสรี " ทั้ง ๆ ที่ไทยไม่พร้อม
( นายอำนวย วีรวรรณ รมว. คลัง และมาเป็น รมว. คลัง สมัย พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ ) 

หลักการโดยรวมเรียกว่า "หลักของพันธะ IMF ตามมาตรา ๘" คือ
๑ . การยกเลิกการกำกัดชำระ และโอนเงินเพื่อธุรกรรมด้านการค้าระหว่างประเทศ ( หมวด ๒ )
๒ . ห้ามใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลำเอียง (Discriminatory Currency Practices)
๓ . ห้ามใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนหลายอัตรา (Multiple Currency Practices) โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกองทุน ( หมวด ๓ )

และในหมวด ๕ ยังกำหนดให้ประเทศไทยต้องเปิด เผยข้อมูลสำคัญอันเป็นความลับสำคัญทางการเงินของชาติ ให้กับ IMF อย่างไม่มีการปิดบัง คือ
ก. ข้อมูล ทุกประเภทเกี่ยวกับทองคำสำรองเงินตราของประเทศไทย
ข. ดุลการชำระเงินระหว่าง ประเทศ
ค. รายได้ทั้งสิ้นทั้ง การผลิตทางเกษตร ทางอุตสาหกรรม การค้า และการบริการ ทุกประเภท
ง. ดัชนีราคา สินค้าเข้า - ออก และดัชนีคาดการณ์
จ. ดัชนีอัตราแลก เปลี่ยนเงินตรา และการควบคุมปริวรรต

ทั้งนี้เมื่อ ประกาศรับพันธะเป็นทางการกับIMF แล้วประเทศ สมาชิกมีภาระที่จะต้องรักษาข้อผูกพันนี้และไม่อาจที่จะกลับไปใช้มาตราการ อื่นใดนอกจากข้อกำหนดนี้ได้โดยเด็ดขาด

ซึ่งโดยความเป็นจริง แล้วไทยแม้จะเป็นสมาชิกของ IMF แล้ว ก็ตาม แต่ไม่มีความจำเป็น หรือเหตุผลใดที่จะต้องรับมาตรา ๘ เพราะยังไม่พร้อม สามารถใช้มาตรา ๑๔ ซึ่งได้อนุญาตให้ประเทศสมาชิกดำเนินมาตราการกำกัดได้ต่อไปจนกว่าจะพร้อม ใช้มาตรา ๘

มาตรการ ของ IMF ดัง กล่าวข้างต้นนั้นล้วนแล้วแต่ขัดต่อประมวลกฎหมายอาญา หมวด ๓ ว่าด้วยความมั่นคงของไทย และ ระเบียบว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๑๗ อย่างเด่นชัดชนิดไม่ต้องตีความ และมีบทกำหนดโทษตามประมวล กฎหมายอาญา ว่า

มาตรา๑๒๔ " ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้ผู้อื่นล่วงรู้ หรือนำไปซึ่งข้อความ เอกสาร หรือสิ่งใด ๆ อัน ปกปิดไว้เป็นความลับ สำหรับความปลอดภัยของประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี"

ตามมาตรา ๘ ของ IMF นั้น บังคับให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องส่งข้อมูลที่ล้วนแล้วแต่เป็นความลับของ ประเทศที่ต้องปกปิดเพราะเป็นความปลอดภัยทางด้านความมั่นคงทางเศรษฐ กิจของชาติทั้งสิ้น ตัวบทกฎหมายของไทยได้ระบุบทลงโทษไว้อย่างแจ้งชัด ไม่ได้มีมติของรัฐสภาให้ความเห็นชอบในการเข้าสู่มาตรา ๘ ของ IMF ทั้ง สิ้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความผิดทางกฎหมาย เพียงแค่สำนึกความรักชาติอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะไม่กระทำเช่นนี้ให้ เกิดขึ้นได้

(ผลแห่งการต้องอยู่ภายใต้พันธะสัญญาข้อที่ ๘ นี้ ทำให้ ธนาคารชาติ ต้องเปิดเผยตัวเลขเงินสำรองของประเทศ รวมทั้งแผนการดำเนินงาน ฯลฯ ของระบบการคลังของไทยทั้งสิ้น ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ทางการเงินของ "ควันตัมฟันส์" ซึ่งเป็นหน่วยงานของ Gold Sacsh ภายใต้การสนับสนุนของประเทศมหาอำนาจ ใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีค่าเงินบาทในปี พ.ศ.2540 เพื่อให้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะการเป็นทาสที่ถูกยึดครองอย่าง ถาวรในเวลาต่อมา ตามสมการกลืนชาติ..

วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๓๓ ได้ออกมาตราการยกเลิกการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราขั้นที่ ๒ เปิดเสรีการโอนเงินไทยออกนอกประเทศมากขึ้น(จุดประสงค์เพื่อให้ทุนสำรองของประเทศ ของไทยลดน้อยลง) มีการออกกฎหมายอนุญาตให้นำทองคำ ซึ่งเป็นทุนสำรองของชาติ ออกนอกประเทศได้โดยไม่มีจำกัด ทองคำนับเป็นสินทรัพย์ที่ยอมรับกันทั่วโลกว่าสามารถเป็นทุนสำรองเงินตรา ในการใช้เพื่อแทนค่าธนบัตรที่พิมพ์ออกภายในประเทศ เมื่อประเทศใดไม่มีทองคำสำรองย่อมไม่สามารถพิมพ์ธนบัตรได้ ทำให้ประเทศไทยต้องพึ่งเงินดอลล่าห์ซึ่งเหมือนเศษกระดาษมาทดแทนทองคำเป็น เรื่องที่น่าอนาถใจเป็นอย่างยิ่ง

ไม่เพียงแต่เท่านั้น ในปี ๒๕๓๕ ยังมีการแก้และออกกฎหมายหลายประการในการลดอำนาจของธนาคารแห่งประเทศไทยทุกรูปแบบ พร้อมกับเพิ่มอำนาจให้กับธนาคารพาณิชย์โดยทั่วไปในการออกสินเชื่อ ยกเลิกการกำหนดเพดานดอกเบี้ยเงินฝาก ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากลอยตัว เงินดอลล่าห์จากต่างประเทศไหลเข้าอย่างมหาศาล แต่ทองคำอันเป็น Real Asset ของชาติกลับถูกถ่ายเทออกนอกประเทศจนไม่เหลือคงคลัง นอกจากเงินดอลล่าห์ที่ไม่มีค่าไปกว่าเศษกระดาษ ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มบุคคลที่ "วาติกัน" ได้วางตัวไว้แล้วนั้นเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้นำทางการเมือง ปฏิบัติการต่อเนื่องตามแผนสามประสาน(Triniti) โดยการเปิด BIBF เพื่อสร้างหนี้ให้กับประเทศไทย เป็นการระบายเงินดอลล่าห์แปลสภาพให้เป็นทรัพย์สินถาวรของประเทศไทยได้โดยสะดวก
 
หมายเหตุ : พล.อ.ชาติชาย ชุนหวัณ นายอานันท์ ปันยารชุน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นเพื่อนร่วมชั้นเดียวกัน รุ่น "ลมหวน" โรงเรียนอำนวยศิลป์ เป็นรุ่นพี่สองรุ่นของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร พล.อ.ต.สม บุญ ระหง จึงอาจจะเป็นคำตอบได้บางประการว่าเหตุใดจึงมีการส่งพินัยกรรม ทาง การเมืองกันเป็นทอด ๆ จะเรียกว่านี่คือ " การ แสดงเกมส์โชว์หลอกคนไทยทั้งประเทศ" ก็ได้

พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ กับ รัฐธรรมนูญ พ . ศ . ๒๕๔๐ 

จากหลักฐาน และข้อกฎหมาย และพฤติกรรมและความเชื่อมโยงสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกลุ่มบุคคล NGO ที่เคลื่อนไหวให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญของนายประเวศ วสี กับนายอานันท์ ปันยารชุนซึ่งทำได้สำเร็จในสมัยของ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี นั้น สามารถพิสูจน์ได้ว่า "รัฐธรรมนูญฉบับ พ . ศ . ๒๕๔๐ คือรัฐธรรมนูญฉบับวาติกัน" และสำคัญที่สุดคือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้บัญญัติขึ้นเพื่อริดรอนพระราชอำนาจ ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์และล้มล้างพระพุทธศาสนา อันเป็นรากฐานขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมไทย ทั้งสิ้น
ตามที่ได้นำเสนอมาแต่ต้นนั้น จะเห็นได้ว่า "โรมันคาทอลิก" คืออาณาจักรหนึ่งที่แฝงอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ใน มาตรา ๑ " ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร อันหนึ่งอันเดียวกันจะแบ่งแยกมิได้ " โดยคำว่า " ราช อาณาจักร" หมายความว่า เป็นแผ่นดินของพระราชา ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขซึ่งจะแบ่งแยกมิได้ " คำว่า " ประเทศไทย " มิได้หมายความว่าเป็นเพียงรั้ว หรือ อาณาเขต พื้นที่ประเทศ ตามที่ปรากฏกันตามแผนที่ภูมิศาสตร์เท่านั้น แต่หมายความรวมไปถึงความเป็นชาติ ความเป็นไทยทั้งหมด ซึ่งนั้นคือ ประชาชน ขนบธรรมเนียมประเพณี ศาสนา วัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของไทย ภาษาท้องถิ่นในประเทศไทยด้วย ฉนั้นเมื่อรวมความในมาตรา ๑ แล้ว เราก็จะมีความเข้าใจถูกต้องตรงกันว่า ประเทศไทยนี้จะแบ่งแยกไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ชาติ ภาษา ศาสนา หรือการปกครองใด ๆ 

มาตรา ๒ " ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข " 

ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข และพระประมุขของเราอันเป็นพระมหากษัตริย์ที่ไม่เหมือนกับพระมหากษัตริย์ของ ประเทศอื่นใดในโลก เพราะเป็นที่ยอมรับกันทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกว่า พระมหากษัตริย์ไทย ทรงเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์ ที่เป็นดังนั้นก็เพราะว่าความเป็นหนึ่งอันเดียวกัน ของสถาบันกษัตริย์กับประชาชนจะแบ่งแยกจากกันไม่ได้ การถวายความจงรักภักดี การพลีชีพถวายชีวิตเป็นราชพลี การถวายสักการะที่ประชาชนคนไทย จะต้องน้อมถวายให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ ฉนั้นจึงถือว่า พระมหากษัตริย์ของไทยนั้นเป็นพระประมุขที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้ อันปรากฏตามมาตรา ๖ แห่งรัฐธรรมนูญนี้ 

 
มาตรา ๓ " อำนาจ อธิปไตย เป็นของ ปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ "



นี่คือวิธีการให้ NGO ที่ได้วางแผนโดยนายอานันท์ ไปลงนามเปิดทางไว้ล่วงหน้า เพื่อให้จัดตั้ง NGO ขึ้นในประเทศไทยได้นั้น เข้ามาใช้อำนาจบริหาร ปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้การรับรององค์การเอกชนอยู่ใน มาตรา ๔๕ " บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันเป็นองค์การเอกชน หรือหมู่คณะอื่น การจำกัดสิทธิจะกระทำมิได้ " และองค์กรเอกชนนี้มีอำนาจเข้ามาดูแลอำนาจรัฐ ดูแลอำนาจบริหารได้ดังปรากฏใน มาตรา ๕๖ " สิทธิของบุคคลที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐ และชุมชนในการบำรุงรักษา และการได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สวัสดิภาพและคุณภาพชีวิตของตนย่อมได้รับความคุ้มครอง " มาตรา ๕๗ " องค์กรอิสระประกอบด้วยตัวแทนทำหน้าที่ให้ความเห็นในการตรากฎหมาย และข้อบังคับ และให้ความเห็นในการกำหนดมาตราการต่าง ๆ " เกี่ยวกับกรณีที่ประชาชนในท้องถิ่น จะต้องมีการดูแลว่าด้วยการใช้ทรัพยากรของต่าง ๆ " รัฐ " ก็อนุญาติให้ดำเนินการโดยมีองค์กรอิสระ หรือที่เราเรียกว่ากลุ่ม NGO เข้ามาดูแลให้คำปรึกษา และคุ้มครองผู้บริโภค ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ในชุมชนต่าง ๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นการปกครองตนเองในลักษณะของ อบต . อบจ . ในปัจจุบันก็ดี หรือในชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมก็ดี ดังที่เขียนไว้ใน
 
มาตรา ๔๖ " บุคคล ซึ่งรวมตัวกันเป็นชุมชนท้องถิ่น ... มีส่วนร่วมในการจัดการ ... และการใช้ประโยชน์ในทรัพยากร ... "
มาตรานี้คือการให้ประชาชนเข้ามามีอำนาจปกครองตนเอง มีสภาท้องถิ่นแห่งตนเอง มีผู้บริหารท้องถิ่นของตนเอง และมีองค์กร ( NGO) เล็ก ๆ เหล่านี้แหละ ซึ่งอาจจะเป็นชาวต่างชาติก็ได้ มาเป็นปากเป็นเสียงให้เพิ่อต่อรองกับทางราชการเพื่อใช้อำนาจอธิปไตยในการบริ หาร

ต่อมาหลังจากที่ได้รับการพัฒนาเจริญเติบโตจนเป็นองค์กรใหญ่แล้ว รัฐธรรมนูญนี้ยังบัญญัติให้ประชาชนผู้มีสิทธิที่เข้าใช้อำนาจบริหารนี้มา ตรวจสอบอำนาจรัฐ ซึ่งจะบัญญัติไว้ดังนี้ หมวด ๕ ว่า ด้วยแนวนโยบายของรัฐ มาตรา ๘๙ " เพื่อ ประโยชน์ในการดำเนินการตามหมวดนี้ ให้รัฐจัดให้มีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจและสังคม แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ แผนอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ ต้องให้สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ความเห็นก่อนพิจารณาประกาศใช้ องค์ประกอบ ที่มา อำนาจหน้าที่ และการดำเนินงานของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ"
ความ หมายคำว่า "รัฐ" ตามมาตรา ๘๙ นี้หมายถึง "รัฐบาล" รัฐบาล ที่เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินตามหมวด ๕ นี้ จะต้องมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งแต่เดิมการร่างนโยบายของรัฐบาลได้กระทำโดยอิสระ เพราะมีสภาพัฒนาการและเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ เข้ามาเป็นผู้ดูแล เป็นผู้รวบรวม 


แผนงานโครงการ การดำเนินการทั้งลับและไม่ลับของหน่วยราชการทั้งหมดของประเทศ มาทำเป็นร่างในการพัฒนาประเทศ นั่นคือการบริหารโดยองค์กรของรัฐ ในมาตรา ๗๘ มาตรา ๘๙ ได้สร้างให้มีองค์กรหนึ่งขึ้นมา เรียกว่าสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายอานันท์ เข้ามาควบคุมตรงนี้) ขึ้น มาคอยตรวจสอบดูแลให้ความเห็นชอบร่างนโยบายของรัฐบาล 

นี่เป็นการเข้ามาใช้อำนาจอธิปไตยในการบริหาร และที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ที่สุดในรัฐธรรมนูญนี้ก็คือ บุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในตำแหน่งต่าง ๆ ทุกระดับ หรือที่มาที่ไปของ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไม่มีการระบุคุณสมบัติ เชื้อชาติ ว่ามีที่มาที่ไปจากไหนอย่างไร ทั้ง ๆ ที่เป็นการเข้ามาเกี่ยวข้องกับระบบราชการ ทั้งที่เป็นความลับและไม่เป็นความลับ ซึ่งแน่นอน ในมาตรา ๘๙ เองก็มิได้มีข้อห้ามว่า ชาวต่างชาติจะเข้ามาในจุดนี้ไม่ได้ จึง เป็นเรื่องอันตรายที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นลักษณะการแอบซ่อนไว้ เพราะไม่มีกล่าวถึงอีกเลยในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เหมือนกับUFO ที่เห็นแว๊บเดียวหายยังไงก็ยังงั้น เป็นการเปิดช่องให้มีการพลิกแพลงได้ในอนาคต เพราะองค์กรนี้จะมีอำนาจในการเรียกดูแผนงานทุกชนิด จากทุกหน่วยงาน ไม่เลือกเว้นแม้กระทั่งกองทัพ หรือ สภาความมั่นคงแห่งชาติ ก็ต้องแสดงรายการหรือรายละเอียดของงบประมาณ หรือแผนงานว่าจะนำเงินไปใช้อะไรบ้าง ฉนั้นหากว่าองค์กรนี้มีบุคคลอันเป็นชาวต่างชาติ หรือผู้ที่มีผลประโยชน์แฝงด้วยประการใด ๆ นั่นหมายถึงความมั่นคงของชาติในทุก ๆ ด้านจะไม่มี 

นี่เป็นสาเหตุหนึ่งในความพยายามที่จะเลิก พ.ร.บ.คอมมิวนิสต์ พ.ศ.๒๔๙๕ อีกส่วนหนึ่งด้วย ที่น่าสังเกตก็คือ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในมาตรานี้ ไม่มีบันทึกอยู่ในบันทึกการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๑๑๔ ตอน ๔๓ ง/ ๒๙ พุทธศักราช ๒๕๔๐ ในส่วนของหลักการและสาระสำคัญที่เพิ่มเติมใหม่ มิได้มีไว้ ทั้งๆที่หน่วยงานนี้มีหน้าที่ที่ จะต้องพิจารณางบประมาณของหน่วยราชการทุกหน่วย จุดที่ซ่อนเร้นอันตรายอยู่ตรงคำว่า "แผนอื่นตามที่ กฎหมายบัญญัติ" นั้นย่อมหมายรวมถึง โครงการทุกอย่างที่ใช้เงินตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ 

ดังนั้นโครงการในลักษณะปกปิดหรือเป็นความลับสุดยอดของชาติ จะต้องส่งให้สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้ความเห็นก่อนทุกครั้งและเนื่องจากไม่มีกฎหมายในรัฐธรรมนูญรองรับว่าบุคคล ในสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามมาตรานี้มีคุณสมบัติหรือคุณวุฒิ สัญชาติหรือเชื้อชาติใด จึงนับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของชาติ อย่างหลีกเลี่ยงมิได้

5 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ22 พฤษภาคม 2553 เวลา 22:51

    ตามอ่านบทความของคุณจิมมี่มาตลอด ขอบคุณนะคะ..ที่เอาออกมาเผยแพร่ แต่ช่างน่าอนาถกับประเทศชาติที่อยู่ในยุคแห่งวัตถุนิยม ทำให้ทุกคนปิดตาปิดใจแต่กลับเปิดรับสิ่งเย้ายวนกิเลสโดยไม่เห็นถึงหายนะของประเทศชาติ ผู้บริหารบ้านเมืองเห็นแก่ได้บนความพินาศย่อยยับและอนาคตอันมืดมนของประชาชนตาดำ ๆ อีกหกสิบล้านคน

    ณ ปัจจุบันนี้ก็ได้แต่เมื่อเจอใคร ๆ ก็จะพยายามเล่าถึงเรื่องเหล่านี้ให้บุคคลอื่นฟังกันบ้าง ถ้ารู้สึกว่าคนคนนั้นสนใจนะ..ผู้ที่เคยพอทราบเรื่องบ้างแต่ไม่เข้าใจเท่าไรพอได้ฟังอย่างนี้ก็อึ่งกันอ่ะ..แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมามันเป็นผลที่เกิดขึ้นจริง ณ ปัจจุบัน ซึ่งมันตรงกันไปหมด ผนวกกันเป็นปมเกลียวที่ยากจะแก้ด้วยคนไม่กี่คน ภายใต้สโลแกนของประชาชนผู้คิดว่า"ไม่ใช่เรื่องของเรา"

    เพราะปัจจุบันนี้เป็นยุคที่ "คนดีกระจาย คนชั่วกระจุก" คำมันอาจแปลก ๆ นะ คิดเองแบบงง ๆ เหมือนกัน แต่คือ คนชั่วมันจะรวมตัวกันทำชั่วได้สุด ๆ แต่คนดีกลับไม่ค่อยรวมตัวกันสลายคนชั่ว รู้สึกเหมือนมีสำนวนไทย ๆ ด้วยอ่ะ อืม..ขี้ครอก..อะไรซักอย่าง

    ได้แต่หวังนะ..หวังลึก ๆ ว่าทุก ๆ สิ่งพอถึงที่สุด..เลวร้ายที่สุด..ย่อมค่อย ๆ มีสิ่งดีดีเกิดขึ้น เหมือนฟ้าหลังฝน แต่ตอนนี้เราคงเกิดมาในช่วงฝนตก พวกเราคงต้องพยายามให้ฟ้าหลังฝนมันสวยงามที่สุดแม้ว่าอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วชีวิตของเราก็ตาม

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ23 พฤษภาคม 2553 เวลา 09:28

    สมัยผมเรียน รัฐศาสตร์ อาจารย์ก็สอนประมาณนี้แหละครับ
    การเข้ายึดครองประเทศอื่น ๆ ทางเศรษฐกิจ และ ยึดครองประเทศ
    แบบสมัยโบราณยังคงดำเนินการอยู่ แต่เปลี่ยนไปเป็นแบบที่
    เข้าใจได้ยาก และ มองไม่เห็น คนที่ลงมือทำจริง ๆ
    ซึ่งถ้าคนไทย ได้รับการศึกษามากกว่านี้
    ก็คงจะไม่ ออกมาทำร้ายกันเองขนาดนี้

    สิ่งที่เคยทำในอดีต องค์กรเหล่านี้ยังไม่เคยหยุดทำ
    น่าจะมีองค์กรลับ ที่คอยต่อต้านบ้างนะ

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ23 พฤษภาคม 2553 เวลา 12:26

    มึนครับท่านแม่ทัพฯ...คนไทยตกอยู่ในวงล้อมแบบนี้..

    ตอบลบ
  4. มีอะไรที่เราสามารถทำได้นอกเหนือจากการอ่านนี้บ้างคะ รู้ข้อมูลพวกนี้มานานแล้ว บอกคนใกล้ตัวแล้ว แต่ไม่ค่อยมีใครเชื่อ ควรทำอย่างไรดีคะ ร่วมกันพิมพ์เอกสารนี้แจกต่อๆกันดีไหมคะ
    kratin

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ24 พฤษภาคม 2553 เวลา 05:20

    คนไทยคิดว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องปวดหัวนะ คิดว่าไม่น่าจะสนใจเรื่องนี้ซักเท่าไหร่

    ชอบแต่อะไรง่ายๆ ไม่คิดมาก สบายๆ เรื่อยๆเปื่อยๆ

    ตอบลบ