ปฏิบัติการระบบสามประสาน (Triniti)
ภารกิจปฏิบัติการร่วมในประเทศไทย
โดย ข้อมูลของฝ่ายข่าวราชการลับระหว่างประเทศ ทำให้ได้หลักฐานอันยืนยันได้ว่า มีการประสานงานระหว่างวาติกันร่วมมือกับองค์การคอมมิวนิสต์ยุโรปจริง โดยการสั่งการผ่าน " สภาคริสต์จักรโลก " เป็นฐานบัญชาการ มีสำนักงานใหญ่อยู่ใน กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอแลนด์ นับตั้งแต่ พ . ศ .2491 โดยอยู่ภายใต้แผนงานของ " สภาบริหารคริสต์ศาสนา " และ จัดตั้ง " สภาสันติภาพแห่งประเทศไทย " ในปี พ . ศ .2494 ทำการเคลื่อนไหวในกลุ่มพุทธศาสนา พระภิกษุสามเณร และแทรกซึมอยู่ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ และองค์กรพุทธในมหาวิทยาลัยของรัฐ ดังได้กล่าวไปแล้วในบทที่ ๒ ต่อมาหลังจากที่ "สภาสันติภาพแห่งประเทศไทย" ถูกจับกุม กวาดล้างในปี พ . ศ . ๒๔๙๕ จากการสนับสนุนและวางแผนงานร่วมมือของ CIA จึงมีได้ปรับปรุงวิธีการและแนวปฏิบัติการแยกออกเป็น 2 สายคือ ๑ . สาย ที่ ๑ เคลื่อนไหวในชนบท ใช้ระบบป่าล้อมเมือง ใช้ชื่อของ
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนด้าน
อาวุธและการเงินจาก " พรรคคอมมิวนิสต์สากล "
๒ . สายที่ ๒ เคลื่อน ไหวในเมือง เข้าครอบงำสถาบันอุดมศึกษา ศาสนา การเมือง เศรษฐกิจและการทหาร ภายใต้การสนับสนุนด้านการเงินจาก " สภาคริสต์จักรโลก " และ " มูลนิธิ Asia Foundation "( หน่วยงานที่ทำหน้าที่เฟ้นหานักวิชาการ และนักการเมืองเข้าร่วมปฏิบัติการให้กับ CIA)
ทั้ง ๒ สายนี้จะทำงานสอดประสานรับนโยบายกันอย่างเป็นหนึ่งเดียว ทั้งในป่าและในเมือง รวมทั้งด้านการต่างประเทศ การกิจปฏิบัติ การของสายที่ ๑ มีหน้าที่สร้างสถานการณ์สู้รบ เพื่อให้ที่ปรึกษาทางทหารของอเมริกา MAP. (Military Assistant Program) แนะนำกระทรวงกลาโหม ให้ซื้ออาวุธผลิตจากประเทศอเมริกา และเพิ่มกำลังรบขึ้น นั่นหมายถึงการเพิ่มยุทธปัจจัย ซึ่งต้องล้วนซื้อหาจากประเทศมหาอำนาจ เพื่อนำมาใช้ปราบปรามผู้ก่อการร้ายที่ CIA ได้สร้างขึ้นนั้น เนื่องจากการสู้รบต่าง ๆ CIA จะเป็นผู้วางแผนการสู้รบให้ จึงปรากฏการสูญเสียน้อย เพราะข้อมูลทางทหารนั้น CIA ได้ ประสานข้อกับหน่วย MAP. ( ความเสียหายย่อมตกกับกองทัพไทย และทหารไทยผู้น่าสงสารกลายเป็นเครื่องทดลอง หรือเป้าเคลื่อนที่ให้ CIA ซึ่งเปรียบเสมือนเซลแมนที่มาสาธิตวิธีการใช้อาวุธ โดยมี ผกค. และทหารไทย เป็นเครื่องมือ !!! ) และเมื่อเกิดความแตกแยก ย่อมเกิดปัญหาชุมชนและขาดแคลนอาหาร " วาติกัน " จะสานต่อปฏิบัติการของ สายที่ ๑ โดยส่งบาดหลวงคาทอลิกเข้าไปให้การช่วยเหลือด้านอาหาร ปัจจัย และเครื่องนุ่งห่มไปให้กับมวลชนเหล่านั้น เพื่อกลืนศาสนา วัฒนธรรม และความเป็นชาตินิยม จึงจะเห็นได้ว่า ประชาชนชาวอิสาน ( ในพื้นที่สีแดง ) จะถูกดึงเข้าไปในเครือข่ายของ " วิติกัน " หมด ( สิ่งที่พึงสังเกตุคือ บาทหลวงที่เดินทางเข้าไปในเขต ผกค . ไม่เคยถูกซุ่มโจมตี หรือถูก ผกค. ฆ่าตาย แต่กลับพบว่า พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาถูก ผกค. ฆ่าตายนับจำนวนเป็นร้อย โดยเฉพาะพระธรรมทูตที่ออกไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในพื้นที่ซึ่งมีปฏิบัติการของ ผกค . ปัจจุบันประชาชนไทยในแถบภาคอิสานเกือบ ๘ จังหวัดนับถือคาทอลิก )
ภารกิจปฏิบัติการของสายที่ ๒ นี้ มีหน้าที่หาสมาชิกทุกรูปแบบ โดยใช้ชื่อแตกต่างกันไป ที่โดดเด่นเป็นที่รู้จักก็คือ " สภาปฏิวัติแห่งชาติ " ซึ่งมีนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เป็นแกนนำ พร้อมนั้นนายประเสริฐ มีตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และแฝงตัวเข้าสู่วงการราชทหารระดับสูงโดยเป็นผู้ เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ให้กับ " กองอำนวยการปราบปรามคอมมิวนิสต์ ( กอ . ปค .)" นายประเสริฐขยายผลเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยนำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นฐานเสียงให้พรรคการเมืองใหญ่พรรค หนึ่ง เพื่อใช้เป็นที่สร้างฐานการเมืองให้กับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทย ( พคท .) กองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทย ( ทปท .) พรรคการเมืองนี้จะแผ่อิทธิพลทางภาคใต้ สุราษฏร์ธานี - พัทลุง อยู่ภายใต้การชี้นำขององค์การพรรคคอมมิวนิสต์สากล โดยการ สนับด้านการเงินจาก " สภาคริสต์จักรโลก " ดังได้กล่าวแล้วนอกจากองค์การ CIA จะปฏิบัติการทางการสร้าง " ผู้ก่อการร้าย " แล้วยังเข้าไปบ่อนทำลายระบบการศึกษาของชาติด้วย โดยแทรกซึมเข้าสู่กระทรวงศึกษาธิการของไทย เพื่อทำการเปลี่ยนระบบการศึกษาของประเทศไทยทั้งระบบว่า
" ให้ดำเนินการโดยของหน่วยงาน CIA ประจำประเทศไทย เพื่อเข้าไปปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาของไทยเสียใหม่ เราได้เห็นพ้องต้องกันมากว่า เป้าหมายการศึกษาตาม ที่กำหนดไว้ที่ประมวลหลักสูตรของไทยนั้น ต้องวางแบบแบบโดยสหรัฐอเมริกา "
จากเอกสารทางวิชาการที่ยืนยันพฤติกรรมการแทรกซึมของ องค์การ CIA ในด้านการศึกษาไทยว่า "หน่วยงานของสหรัฐบางหน่วย มีหน้ากากเป็นมูลนิธิเพื่อการศึกษาและวัฒนธรรม ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ว่าเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยเฉพาะก็คือเป็นสาขา
ของ องค์การ CIA โดยได้รับเงินอุดหนุนจากองค์การ CIA มูลนิธิเช่นว่านี้มีหลายมูลนิธิด้วยกัน ที่สำคัญคือมูลนิธิเอเซีย ( Asia Foundation) ที่แทรกแซงเข้าไปในวงการศึกษาถึงขนาดมีเงินเดือนให้ คนมูลนิธิเอเซียนี้เคยถูกขับไล่ออกจากหลายประเทศ ในข้อหาว่าเข้าไปพัวพันแทรกแซงกิจการภายในของประเทศต่าง ๆ เช่นรายที่อื้อฉาวที่สุดก็คือ ในกรณีของประเทศอินเดีย"
( สิ่งที่พิสูจน์ได้อีกกรณีหนึ่งของการเข้าครอบงำระบบการศึกษาของชาติ โดย " วาติกัน " ก็คือในเดือนมกราคม พ . ศ .2543 นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้แต่งตั้งให้ " บาทหลวง " เป็นคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ มีหน้าที่กำหนดแนวทางการศึกษาให้กับประชาชนและเยาวชนในประเทศไทย !!! ซึ่งทั้งนี้หมายรวมถึงการกำหนดหลักสูตรการเรียน การสอนวิชาพระพุทธศาสนา ของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทุกแห่งด้วย )
มูลนิธิเอเซีย (Asia Foundation) ได้ให้เงินสนับสนุนจัดตั้ง " มูลนิธิโกมลคีมทอง " ซึ่งบุคลากรที่เกี่ยวข้องในมูลนิธินี้ ล้วนมีส่วนในการเคลื่อนไหวทางด้าน การเมือง การปกครอง การเศรษฐกิจ การศาสนา การศึกษาของประเทศไทยทั้งสิ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเกิดจากการสร้างกระแสของ นายประเวศ วสี ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิโกมลคีมทองกับนาย ส . ศิวลักษณ์ ซึ่ง ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญในปี พ . ศ . 2540 อันขัดต่อเจตนารมย์ของประชาชนไทย ก่อให้เกิดความแตกแยกและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบการเมือง การปกครองของประเทศอย่างมหาศาล และโดยเฉพาะ นาย ส . ศิวลักษณ์ ก็ยังเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับ สภาคริสต์จักรโลก อย่างแนบแน่น พิสูจน์ได้จากหลักฐานในการที่ สภาคริสต์จักรโลกได้ จัดประชุมและมีมติให้สภาคริสต์จักร์ทั่วโลก ประท้วงประเทศไทยในกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม นาย ส . ศิวลักษณ์ ข้อหา " หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว " ทั้งให้ปล่อยตัว นาย ส . ศิวลักษณ์ อย่างไม่มีเงื่อนไข ( บ้านเมือง 19 สิงหาคม พ . ศ .2527)
นาย ส . ศิวลักษ์ ชื่อจริงว่า สุ ลักษ์ ศิวลักษ์ เดิมชื่อ นายสุลักษ์ แซ่เซียว บุตรชาวจีนอพยพ เกิดที่ท่าน้ำทรงวาด แขวงจักรวรรดิ ตนเองและบิดานับถือคาสนาคริสต์โรมันคาทอลิก ต่อมาเมื่อเกิดสงครามโลก บิดากลัวว่า นาย สุลักษณ์ จะมีอันตราย จึงเอาบุตรไปบวชเป็นเณรที่วัดทองนพคุณ ( ไม่ได้บวชพระ ) เมื่อสิ้นสงคราม จึงกลับไปเข้าคาทอลิกตามเดิม ศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ได้รับการคัดเลือก คัดเลือกไห้ได้รับทุนการศึกษาไปเรียนในประเทศอังกฤษ ทาง " สภาคริสต์จักรโลก " ได้จัดให้ประสานงานกับนายอานันท์ ปันยารชุน ที่กรุงลอนดอน จากนั้นได้นำเข้าไปเป็นโฆษกสถานีวิทยุ BBC ภาคภาษาไทย เมื่อกลับมาในประเทศไทย ได้รับหน้าที่ให้ดำเนินการเคลื่อนไหวขยายผลแผน " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " โดยใช้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นฐานปฏิบัติการ ตั้งหน่วยงานเคลื่อนไหวชื่อ " คณะกรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนา ( กศน .)" ที่ก่อตั้งขึ้นโดยคำสั่งของ " วาติกัน " ทั้งนี้ปรากฏหลักฐานการรับเงินสนับสนุนจาก CAFOD(Catholic Fund for Overseas Develop ment) ขยายผลแนวความคิดเข้าสู่ปัญญาชน ในสถานอุดมศึกษาชั้นนำของประเทศ และองค์กรสงฆ์
จัดตั้งหนังสือ " ปาจาริยสาร " สนับสนุนแนวปฏิบัติการของ " พรรคคอมมิวนิสต์สากล "
นายประเวศ วสี เป็น นักเรียนทุนอานันทมหิดล คนที่ 2 ของประเทศไทย ได้ถูกคัดเลือกให้เข้าสู่แผนปฏิบัติการ " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " โดยนาย ส . ศิวลักษณ์ เพื่อทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงแนวความคิด และระบบการศึกษา เริ่มปฏิบัติการสู่สถาบันสงฆ์ ใช้โครงการแพทย์สมุนไพรชาวบ้าน โดยได้รับการสนับสนุนจาก "องค์กของวาติกัน Berad For the Word" ซึ่งมีบาทหลวงวูลฟ์ แกง สมิท เป็น ผู้ดูแล ปฏิบัติการขยายแนวร่วมในส่วนขององค์กรพระพุทธศาสนา เน้นหนักในกลุ่มพระสงฆ์ ทั้งนี้ด้วยผลการวิเคราะห์ว่า สังคมไทยเป็นสังคมพุทธ ประชาชนเชื่อพระสงฆ์เป็นครูบาอาจารย์ หากสามารถครอบคลุมพื้นที่พระสงฆ์หรือแนวพุทธศาสนา อันเป็นหลักของการศึกษาแล้ว การต่อต้านในการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษาจะน้อยลง ( ทำให้สามารถเปลี่ยนกรมฝึกหัดครู เป็นสถาบันราชพัฏ และผลักดันออกกฎหมายให้มหาวิทยาลัย ออกนอกการควบคุมหลักสูตรของรัฐและพุทธศาสนาได้สำเร็จ ) และจัดตั้งหนังสือ " หมอชาวบ้าน " เผยแพร่แนวความคิด
บุคคล ทั้ง 3 ที่กล่าวนามนี้ หากสังเกตุให้ถ่องแท้จะเห็นว่า ล้วนเชี่ยวชาญในหลักการของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นผลจากการได้ผ่านหลักสูตรเฉพาะดังได้กล่าวแล้ว จึงเป็นตัวจักรสำคัญในการทำหน้าที่เคลื่อนไหวทางด้านการสร้างความแตกแยกความ คิด ขนบธรรมเนียม ศิลป วัฒนธรรม และสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งระบอบการปกครองของประเทศไทย และทำลายระบบชาตินิยมให้สิ้นไป เริ่มจัดตั้งฐานปฏิบัติการประชาชนใช้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และร้านขายหนังสือของนาย ส . ศิวลักษณ์ ใช้ ดร . ป๋วย อึ้งภากร เป็นภาพเชิงหลอนต่อสาธารณชน
จากหลักฐานการเคลื่อนไหวขององค์การต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง รวมทั้งกลุ่มบุคคลที่ดำเนินการในประเทศไทย ล้วนแต่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามาจากแหล่งเดียวกัน จึงจำเป็นต้องศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์ เหตุปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ให้ลึกลงไปถึงแก่นแท้ของวิกฤตการณ์ ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อหาทางแก้ไขและป้องกันสถาบันชาติ พระพุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเป็นความมั่นคงของชาติ อย่างถูกต้องและตรงต่อประเด็น และมิให้ตกอยู่ในกระแสความสับสนจากข้อมูลที่ได้ถูกสร้างขึ้นกลบเกลื่อนความ จริงแท้ต่อไป
ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ องค์กรคริสต์องค์กรหนึ่ง ได้ออกหนังสือบิดเบือนพระสัทธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยใช้ชื่อว่า " คริสตธรรม - พุทธรรม " อ้างชื่อท่านพุทธทาส และมีการนำใช้ศัพท์ในพระพุทธศาสนาไปใช้ ทำให้กรมการศาสนากระทรวงศึกษาธิการ ออกประกาศให้องค์กรคริสต์ศาสนาปฏิบัติตามกฎหมายซึ่งห้ามใช้คำในพระ พุทธศาสนา เช่นคำว่า " สังฆราช " ให้ใช้คำว่า " มุขนายก " เพราะ ผู้ที่จะเป็นสังฆราชได้นั้นจะต้องได้รับพระราชทานโปรดเกล้าแต่งตั้งจากองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น การใช้ หรือตั้งตำแหน่งดังกล่าว มีความผิดตามกฎหมายฐานละเมิดพระราชอำนาจองค์พระมหากษัตริย์ แต่องค์กรวาติกัน ก็มิได้ปฏิบัติตามแต่อย่างใด ยังละเมิดพระราชอำนาจองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นองค์พระประมุขของชาติอย่างท้าทาย และใช้มาจวบจนปัจจุบัน ( พ.ศ. ๒๕๔๓ )
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ องค์การ CIA แนวร่วมของวาติกัน ได้ย้ายฐานปฏิบัติการจาก เวียตนาม เข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการในประเทศไทย ที่ตึก ๕ ชั้น อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เป็นที่เรียบร้อย เริ่มปฏิบัติการร่วมกับ สภาคาทอลิกระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของ CIA ปฏิบัติการเชิงรุกในด้าน จิตวิทยาในประเทศไทย รวมทั้งสร้างสถานการณ์ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ขึ้นในพื้นที่ " ภูพาน " เพื่อ รองรับบุคลากรที่จะต้องถูกหลอกลวงให้เป็นเครื่องมือทำลายภาพพจน์ของทหาร และเป็นเงื่อนไขในการแบ่งแยกดินแดน ( ต่อมาเมื่อไม่สำเร็จจึงได้ทำการเคลื่อนไหวเปลี่ยนรัฐธรรมนูญในปี พ . ศ . ๒๕๓๘ ได้สำเร็จบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี พ . ศ . ๒๕๔๐ เรื่องการบริหารส่วนท้องถิ่นแทน ) ได้มีการตั้ง " สภาพุทธศาสนิกชนกลาง " ขึ้น ปฏิบัติการแทรกซึมและปลุกระดมพระสงฆ์สามเณรโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเซีย ซึ่งนับถือพระพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ ทำงานประสานกันกับหน่วย " วาติกัน " ชื่อ " คณะกรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนา ( กศน .)" โดยองค์การ CIA และวาติกัน ให้การสนับสนุนการเงินผ่านทาง มูลนิธิ Asia Foundation โดย มีนายส . ศิวลักษณ์ และนายประเวศ วสี ก่อตั้งมูลนิธิ " โกมลคีมทอง " ประสานงานต่างประเทศโดยนายเดวิด กอสลิง บาทหลวง ผู้อำนวยการฝ่ายคริสต์จักรกับสังคม แห่ง สภาคริสต์จักรโลก ณ กรุงเยนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งประสานปฏิบัติการกับ " พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ( พคท )" ใช้ " กลุ่มศึกษิตเสวนา " ซึ่ง สหายแสง รุ่งนิรันดรกุล นายทหารจรยุทธของ " กองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทย ( ทปท .)" อันจะทำงานประสานเป็นหนึ่งเดียวทุกเขตงานของคอมมิวนิสต์ไทย - ลาว แลกเปลี่ยนบุคลากรกับ กองทัพขบวนการประเทศลาว ( ทปล ) โดยผ่านทางภาคตะวันตกของลาวกับพื้นที่ภาคอิสานของไทยรวมทั้ง " องค์กรเซียม " ของเขมรแดง ( เขมรพอลพต ) ในประเทศกัมพูชาซึ่งตั้งขึ้นมาโดยองค์กร CIA และ องค์กรของ " วาติกัน "
เช่นเดียวกัน ทั้งหมดนี้คือความสำพันธ์ที่สอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกันอันปรากฏเป็นหลักฐาน ระหว่าง "วาติกัน" กับ "พรรคคอมมิวนิสต์" และ องค์การ CIA" ใน ภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก่อให้เกิดสงคราม การล้มล้างพระพุทธศาสนา และโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเบ็ดเสร็จ
สำหรับการทำลาย พระพุทธศาสนานั้น ใช้การทำลายโดยวิธีนำพระภิกษุสามเณรที่มีความฉลาดระดับอัจฉริยะปฏิบัติการใน ประเทศลาวเช่นพระมหาคำตัน เทพโมลี ซึ่งมีความรู้เปรียญธรรม ๖ ประโยค เมื่อสำเร็จหลักสูตรนี้แล้วได้กลับไปทำลายคณะสงฆ์ในประเทศลาว โดยปลดเกษียรเจ้าอาวาส ซึ่งขัดต่อหลักพุทธพจน์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงให้เคารพอาวุโส เป็นการจาบจ้วงพระธรรมวินัย ยกเลิกตำแหน่งพระราชาคณะ พระสงฆ์ลาวหลายหมื่นรูปถูกสึกและนำไปใช้แรงงานทาสจนกระทั่งมรณภาพ ในแขวงเวียงไชย พร้อมทั้งต้องเทศนาตามที่พรรคคอมมิวนิสต์ลาวกำหนดให้ สำหรับในประเทศไทยก็มีอยู่หลายรูปเช่นกัน หลักสูตรที่นำมาใช้อบรมแก่บุคลากรเพื่อใช้ทำลายพุทธศาสนาเรียกว่า "หลักสูตรพุทธ วิทยาเพื่อการปฏิวัติ" แบ่งออกเป็น ๕ วิชา คือ
๑ วิชา พระพุทธศาสนากับการลดกำลังอาวุธ
๒ วิชา พระพุทธศาสนากับการปกป้องนิเวศวิทยา
๓ วิชา พระพุทธศาสนากับอิสรภาพและสิทธิมนุษยชน
๔ วิชา พระพุทธศาสนากับสันติภาพของโลก
๕ วิชา พระพุทธศาสนาแนวสังคมนิยมเพื่อการปกครองประเทศ
หลักสูตรทั้งหมดเดิมไม่มีการอบรมอย่างเปิดเผย เนื่องจากว่าเป็นหลักสูตรที่ถูกกำหนดขึ้นโดย " องค์การคอมมิวนิสต์สากล " และใช้ผลของการอบรมนั้นปรากฏว่าบุคลากรหมู่ภิกษุสงฆ์สามเณรที่คัดสรรนั้น กลับไปทำงานทำลายพระพุทธศาสนาโดยใช้วิธีการ " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " อย่างได้ผล รวมทั้งสามารถทำลาย วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และสถาบันพระมหากษัตริย์ได้โดยสิ้นเชิง ( ได้มีการนำมาเผยแพร่นับตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมาโดยใช้คำว่า Good Governance ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น " ธรรมรัฐ " และในปี 2543 เปลี่ยนชื่อเป็น " ธรรมาภิบาล " โดยได้ร้บการสนับสนุนจากภาครัฐ และสถานศึกษา รวมทั้งทางสื่อสารมวลชนในประเทศไทย และแอบอ้างฝังตัวในพุทธบริษัทโดยใช้คำว่า " ธรรมมาธิปไตย " นำมาทำลายองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย และพระพุทธศาสนาในประเทศไทยขณะนี้ พ.ศ.2541-2543 เช่น การโจมตีพระภิกษุสงฆ์ ต่อต้านการสร้างวัด ห้ามเชื่อถือเทวดา และอภินิหาร ไม่มีนรกสวรรค์ ไม่มีกฏแห่งกรรม ทั้ง ๆ ที่ในพระพุทธศาสนามีบัญญัติไว้ในพระไตรปิฏก รวมทั้งอบรมพระสงฆ์ให้เทศนาในแนววาติกัน รวมทั้งใช้องค์กรพระสงฆ์ที่ได้ถูกอบรมโดยหลักสูตร " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " สร้างกระแสร่วมสนับสนุนกิจกรรม และการดำเนินการของ " วาติกัน " โดยออกมาโจมตีพระภิกษุสงฆ์ หรือคณะสงฆ์ที่ไม่เห็นด้วยกับการทำลายพระพุทธศาสนา ตัวอย่างเช่นเมื่อ มิ . ย .2543 องค์กรสงฆ์หนุ่มได้ออกมาเคลื่อนไหว กล่าวโจมตีจาบจ้วง พระเถระผู้ใหญ่ และยื่นหนังสือกับมหาเถรสมาคม ให้ดำเนินการทางวินัยแก่ " หลวงตามหาบัว " ฐานทำให้คนไทยเกิดความสามัคคี และรักษาสมบัติของชาติ " โดยอ้างว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ " )
ในส่วนของพระสงฆ์ชาวไทย ซึ่งได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อให้ปฏิบัติการตามแผน " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " คือ พระประยุทธ ปยุตฺโต ซึ่งทาง " สภาคริสตจักรโลก " ได้มอบให้นาย ส . ศิวลักษณ์เป็นผู้ชักนำโดยเริ่มจาก บาทหลวงโดแนล สแวเล่อร์ เป็นผู้มอบตำแหน่งให้ พระประยุทธ ได้เป็นสมาชิกกิติมศักดิ์ของ " สยามสมาคม " และกำหนดหน้าที่ให้เป็นวิทยากรประจำมูลนิธิโกมลคีมทอง เทศนา " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " มีฐานปฏิบัติการในเขตอิทธิพลวาติกันเชียงใหม่ ใช้วัดอุโมงค์เป็นสถานที่ประชุม ( อ่านรายละเอียดในพระพุทธศาสนา : ชะตาของชาติ ) ต่อมาได้ถูกส่งไปศึกษาวิชา " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " ในวิทยาลัย Swarthmore ของบาท หลวงโดแนล สแวเล่อร์ ที่มลรัฐเพ็นซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา เพื่อกลับมาทำหน้าที่ปรับปรุงหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา ให้กลมกลืนกับหลักการของ " วาติกัน " โดยเน้น " อิสรภาพ เสรีภาพ และ สิทธิมนุษยชน " ผลงานที่ปรับปรุงเสร็จและถูกนำไปบังคับเป็นหลักสูตรสถาบันราชภัฏ คือ หนังสือ " พุทธธรรม " พร้อมกับเคลื่อนไหวในเชิงลึก สร้างแนวร่วมในคณะสงฆ์ไทย ต่อมา พระประยุทธ ได้รับตำแหน่งเป็นพระธรรมปิฏก โดยการสนับสนุนของพรรคการเมืองที่ได้รับการอุปถัมภ์โดย " องค์กรพรรคคอมมิว นิสต์สากล " เพื่อให้พระประยุทธ ได้รับความเชื่อถือแก่สังคม การเมือง และข้าราชการ ทั้งนี้ทำให้พระประยุทธไม่สามารถแยกตัวออกมาได้ เนื่องจากการเข้าร่วมกับขบวนการดังกล่าวนั้น เป็นความผิดบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ ตาม พรบ . ป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นคอมมิว นิสต์ จึงกลายเป็นเครื่องมือให้กับขบวนการดังกล่าวนี้ ใช้แทรกซึมและทำลายสถาบันสงฆ์ไทยตลอดมา
รวมทั้งยังสามารถสร้างความกลมกลืนชี้นำให้มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรพระพุทธ ศาสนาเดิมแท้ ให้แปรเปลี่ยนไปเป็น " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " จากการประสารเสริมของบุคลากรของขบวนการที่จัดตั้งอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ และเป็นที่มาของการยุบ " กรมการฝึกหัดครู " ตั้งใหม่เป็น " สถาบันราชภัฏ " ในปัจจุบัน ซึ่งแตกต่างไปจากวัตถุประสงค์ ในการสร้างบุคลากรเพื่อเป็นครูให้ความรู้แก่เยาวชนของชาติโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้ผู้ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าดำเนินการดังกล่าวคือ นายนิเชษฐ สุนทรพิทักษ์ อธิบดี กรมการฝึกหัดครู ( รายละเอียดโปรดอ่านใน พระพุทธศาสนา : ชะตาของชาติ , Dr. เบ็ญจ์ บาระกุล ) และทั้งนี้พระประยุทธ ยังเป็นตัวจักรสำคัญในการเปลี่ยนแปลงกฏหมายคณะสงฆ์ โดยเฉพาะ พระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งได้มีการยกร่างไว้ตั้งแต่ พ . ศ . ๒๕๓๖ ครั้ง นายสัมพันธ์ ทองสมัคร เป็น รมต . กระทรวงศึกษาฯ รัฐบาลชวน - ธารินทร์ จะเห็นได้ว่าเป็นการวางแผนงานไว้ล่วงหน้า
สิ่งที่พึงสังเกตุอย่างยิ่งก็คือ การประสานงานกันอย่างเหนียวแน่นในขบวนการนี้ โดยการสร้างกระแสชี้นำมวลชนให้เห็นว่า " พระพุทธศาสนาไม่เหมาะกับประเทศไทย " โดยนายเสถียร พงษ์ วรรณปก ปรากฏในหนังสือ ศิลปวัฒนธรรม ( เจ้าของหนังสือนี้คือ นายประเวศ วสี ) และการอภิปรายของพระประยุทธ ในกรณีไม่ควรให้มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ปรากฏในหนังสืออุดมธรรม จัดพิมพ์โดยมูลนิธิโกมลคีมทอง รวมทั้งนายประเวศ วสี ได้ลงบทความอันบิดเบือนหลักธรรมคำสอนโดยใช้แนว " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " ปรากฏในหนังสือพุทธธรรมกับสังคม มีข้อความชี้นำเชิงทำลายพระพุทธศาสนาปรากฏอยู่ในหน้าแรกว่า
" ประเทศ ไทยมีวัดกว่า ๒๕ , ๐๐๐ กว่าวัด พระกว่า ๒๐๐ , ๐๐๐ รูป เณรกว่า ๑๐๐ , ๐๐๐รูป พุทธศาสนิกอึกเต็มประเทศ ไฉนเราจึงมีปัญหาทางสังคมมากขึ้นเรื่อย ๆ บางอย่างถึงขั้นวิกฤติ ก็คงจะต้องลงความเห็นหนึ่งในสองทาง คือ หนึ่ง พระพุทธศาสนาไม่เกี่ยวกับความดี ความเลวในสังคม หรือ สอง ประเทศเรา ไม่ ได้ประยุกต์ พระพุทธศาสนา ...."
การทำลายระบบการปกครองคณะสงฆ์ไทย ( มหาเถรสมาคม )
โดย กฏหมายของราชอาณาจักรไทย ได้ให้การรับรองพระพุทธศาสนาไว้โดยแจ้งชัดเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ซึ่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระ ปรมาภิไธย รับรองให้เป็นสังฆมณฑลหนึ่งเดียวของประเทศ มีองค์สมเด็จพระสังฆราชฯ เป็นประมุข ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานถวายการแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง รวมทั้งพระราชาคณะ ( คำว่า ราชาคณะ แปลตามศัพท์ว่า พระสงฆ์ของพระมหากษัตริย์ ) ภาษาชาวบ้านเรียกว่า " เจ้าคุณ " นับตั้งแต่ ชั้นสามัญ ชั้นราช ขึ้นไปเรื่อย ๆ
การทำลายสถาบันพระพุทธศาสนาให้ ได้นั้น ต้องทำลายองค์กรคณะสงฆ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดและเป็นเหตุการณ์ที่ใกล้ที่สุดและเห็นได้ชัดในขณะนี้ ( พ . ศ . ๒๕๔๓ ) คือกรณี " วัดพระธรรม กาย " อันปรากฏเป็นภาพที่ถูกชี้นำโดยสื่อสารมวลชน ให้เห็นถึงความเสื่อม ความไร้ประสิทธิภาพของมหาเถรสมาคมองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย มีการสร้างกระแส การกระทำอันละเมิดทั้งกฏหมายและบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมากมาย ทั้งนี้เมื่อไม่ได้ลงลึกในข้อมูลแล้วจะไม่ทราบได้เลยว่า นี่คือปฏิบัติการของ " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " คือเลี้ยงให้อ้วนเพื่อเอาไว้ฆ่า
กรณี " วัดพระธรรมกาย " นั้น กล่าวโดยสรุป ตามหลักฐานว่า ในปี พ . ศ . ๒๕๓๔ นาย ส . ศิวลักษ์ ได้สนับสนุนต่อสาธารณะชน โดยชี้นำสร้างกระแสว่า " วิชาธรรมกายนั้นปรากฏในพระไตรปิฏก การถวายข้าวพระพุทธนั้นเป็นการกระทำที่ถูกต้องของชาวพุทธ " พร้อมส่งบุคลากรเข้าไปช่วยเหลือดำเนินการ ให้เป็นที่ไว้วางใจ เพื่อประสานการทำงานกับขบวนการดังกล่าว และชี้นำเน้นหนักในเรื่องการ " ซื้อที่ดินเป็นของวัดธรรมกายให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ " และในขณะเดียวกันใน ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ นายอานันท์ ปันยารชุน ได้ประสานงานต่อเนื่อง โดยให้รางวัลดีเด่นมากมายหลายรางวัล เป็นตัวอย่างที่ดีของวัดทั้งหลายในประเทศ และในขณะเดียวกันนั้น นายอานันท์ ได้แก้ไข พรบ. คณะสงฆ์ ฉบับปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เสียใหม่ เพื่อให้รองรับกับ ประมวลกฏหมายแพ่งแลพาณิชย์ ว่าด้วยเรื่องมูลนิธิ เพื่อสามารถยึดที่ดินธรณีสงฆ์ได้โดยง่าย
การส่งเสริมดังกล่าว นั้น ทำให้วัดพระธรรมกายได้รับความศรัทธาจากประชาชน ทั้งโดยการสร้างกระแสของขบวนการดังกล่าว เพื่อให้วัดนี้ใหญ่ขึ้น มีมวลชนมากยิ่งขึ้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ทำลายองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทยต่อไป เพราะเมื่อมีมวลชนมากเท่าใด นั่นหมายถึงการตัดสินใจต่าง ๆ ย่อมต้องใช้ความละเอียดรอบคอบมากขึ้นกว่าเดิม
ในต้นปี พ . ศ . ๒๕๔๐ ได้มีการก่อตั้ง ชมรมธรรมะร่วมสมัย จัดรายการทางสถานี อสมท . โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพื่อสนับสนุนขบวนการดังกล่าว และได้จัดตั้งศูนย์ศาสนสัมพันธ์ ขึ้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อรับบุคคลที่จบปริญญาตรี จากวิทยาลัยแสงธรรม เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท เอก โดยมีบุคลากรในขบวนการนี้เข้าเป็นอาจารย์สอนประจำ
ในปี พ . ศ . ๒๕๔๑ หลังรับรัฐธรรมนูญได้มีการสร้างกระแสชี้นำพระประยุทธ ให้เป็นที่ยอมรับของสังคม และในเดือน ก . ค . ปีเดียวกันนั้นโดยกลุ่มบุคคลคณะเดียวกัน เพื่อดึงให้มหาเถรสมาคม องค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย ต้องดำเนินการตาม พ . ร . บ . สงฆ์ แต่ทั้งสิ้นนั้นล้วนแล้วแต่ได้วางแผนไว้อย่างเป็นขั้นตอนมีการจัดตั้ง " ม๊อบ " ประท้วงการทำงานของพระเถรานุเถรกรรมการมหาเถรสมาคม สื่อมวลชนถูกดึงเข้าร่วมโจมตีซึ่งก็หมายถึงกลายเป็นเครื่องมือทำลายพระพุทธ ศาสนาไปโดยปริยาย ได้มีการสร้างกระแสทุกกรณีทำให้มหาเถรสมาคมไม่เป็นเอกเทศ ไม่สามารถนำพระธรรมวินัยมาใช้ในการตัดสินได้ เพราะกระแสจัดตั้งดังกล่าว ในที่พระราชาคณะซึ่งเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ก็ถูกตราหน้าจากสังคมว่าเป็นผู้มีความผิด บางท่านถูกถอดจากตำแหน่งโดยการชี้นำจากกลุ่มคณะเดียวกันนี้ ซึ่งได้อาศัยอิทธิพลทางการเมืองรัฐบาลชวน - ธารินทร์ ดำเนินการตลอดมา
โดยวัตถุประสงค์ให้ประชาชนไทยเห็นว่า " พระพุทธศาสนา มิใช่เป็นสิ่งที่ดีงามสำหรับสังคม แม้แต่พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ยังทำทุจริต องค์กรปกครองคณะสงฆ์ยังคอรัปชั่น ซึ่งการ การประสานงานดังกล่าวได้กระทำอย่างเป็นรูปธรรม ( รายละเอียดค้นคว้าได้จากหอสมุดแห่งชาติ สำหรับเหตุการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ )
สาเหตุที่ถูกยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างนั้นมีจุดประสงค์ เพียงเพื่อต้องการออกกฏหมายใช้บังคับต่อพระพุทธศาสนา และพระภิกษุสงฆ์ไม่ให้ถือครองสิทธิบนที่ดิน ( ทั้ง ๆ ที่มีกฏหมายรองรับไว้ใน ปปพ . มาตรา ๑๖๒๓ ) เพราะในประเทศไทยนั้น พุทธศาสนสมบัติส่วของอสังหาริมทรัพย์ คือที่ดินมีอยู่อย่างมากมายเรียกว่า " ธรณีสงฆ์ " มีกฏหมายคุ้มครองแจ้งชัด ดังนั้นจึงต้องยกเลิกกฏหมายนี้ให้ได้ โดยออกกฏหมายใหม่ชื่อว่า " พ.ร.บ. อุปถัมภ์ และ คุ้มครองพระพุทธศาสนา " มาใช้แทน กฏหมายดังกล่าวให้อำนาจนักการเมือง NGO สามารถควบคุมอสังหาริมทรัพย์ของพุทธศาสนาได้ และกฏหมายดังกล่าวได้ถูกนำเสนอต่อนายชวน หลีกภัย โดยนายอำนวย สุวรรณคีรี สส . ประชาธิปัตย์ ในวันที่ ๒๒ ก . ค . ๒๕๔๒
ความสัมพันธ์ ความต่อเนื่องของปฏิบัติการต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าได้มีการดัดแปลง แก้ไข พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาโดยสิ้นเชิงโดยกลุ่มขบวนการดังกล่าวนี้ ได้ถูกนำเสนอต่อสื่อมวลชนทุกแขนงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนไม่สามารถแยกได้ว่าจริงเท็จ แท้ปลอมเป็นอย่างไร จากพยานหลักฐาน ข้อมูลล้วนแล้วแต่มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยตรง และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยตลอดมานั้น พิสูจน์ได้ว่าเป็นการปฏิบัติการร่วมของ CIA และ วาติกัน และประเทศมหาอำนาจ ทั้งด้านศาสนา วัฒนธรรม เศรษฐกิจ ปรากฏ การกระทำอันละเมิดกฎหมายโดยเจตนาของโรมันคาทอลิก ที่แสดงให้เห็นถึงการไม่ยอมอยู่ภายใต้กฎหมายไทย เห็นได้จากฎหมายไทยที่ระบุชัดไว้ใน พ.ร.บ. ที่ดิน รศ . ๑๒๘ ว่า
" ข้อ ๓ . ห้ามมิให้บาทหลวงมีที่ดินเป็นของตน ไม่ว่าบาทหลวงนั้นจะมีสัญชาติ อะไร แม้แต่คนสัญชาติไทยเมื่อเปลี่ยนเป็นบาทหลวงแล้วก็
ไม่ อาจถือครองที่ดินได้ ไม่ว่าจะมากน้อยเพียงใดก็ตาม "
สาเหตุ นี้ทำให้วาติกันได้ใช้เล่ห์เพทุบายเปลี่ยนคำเรียก " บาทหลวง " เป็นคำว่า " พระสงฆ์ " หรือ ทั้ง ๆ ที่เป็นการละเมิดต่อกฎหมาย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ามีบทบัญญัติของ กฎหมายได้รับรองให้พระสงฆ์ มีสมบัติ ได้ ซึ่งสามารถตกทอดเป็นมรดกได้ด้วย ใน ประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา ๑๖๒๓ นี่คือที่มาของการ ที่ " วาติกัน " ใช้คำว่า " พระสงฆ์ " เพื่อจะได้ใช้เป็นข้อกฎหมายในการครอบครองที่ดินได้อย่างถูกต้อง ไม่ อาจถือครองที่ดินได้ ไม่ว่าจะมากน้อยเพียงใดก็ตาม "
พร้อมกันนั้นได้ให้องค์กรของตนออกเคลื่อนไหวเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ โดยเริ่มจาก นายประเวศ วสี ผู้ร่วมก่อตั้ง " มูลนิธิโกมลคีมทอง " ซึ่งได้รับเงินช่วยเหลือจาก Asia Foundation เริ่มปฏิบัติการในปี พ . ศ . ๒๕๓๘ สำเร็จเป็นรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๕๔๐ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้มีการผิดพลาดหรือเกิดการเวนคืนที่ดินของบาทหลวงได้ จึงต้องมีการแก้กฎหมายให้มีการตกทอดทางมรดกคุ้มครองสมบัติของบาทหลวงได้ด้วยอย่างถาวร เพราะที่ดินของบาทหลวงนั้นหมายถึงที่ดินของรัฐวาติกัน โดยที่ดินนี้ถูกนำไปขึ้นบัญชีสมบัติ และควบคุมโดยกระทรวงเกี่ยวกับ พระศาสนจักรตะวันออก ( ดูแลผลประโยชน์ควบคุมภาคพื้นเอเซีย ) ดังนั้นจึงต้องดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายหลักของประเทศ โดยต้องระบุไว้ในรัฐธรรมนูญว่า " ห้ามมีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ " ซึ่งเป็นที่มาของการหมกเม็ดซ่อนเงื่อนไว้ในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ว่า
มาตรา ๔๘ "... การสืบมรดกย่อมได้รับความคุ้มครอง สิทธิของบุคคลในการสืบมรดกย่อม เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ "
ซึ่งโดยความเป็นจริงบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรานี้ไม่จำเป็นต้องมี เพราะประเทศไทยมี " กฎหมายมรดก " คุ้มครองอยู่แล้ว ดังนั้นการบัญญัติดังกล่าวก็คือการปกป้องที่ดินอันเป็นอสังหาริม ทรัพย์ของ " รัฐวาติกัน " เท่านั้นไม่มีเหตุผลอื่นใด และหลังจากการผ่านรัฐธรรมนูญได้สำเร็จแล้วจึงจะเห็นได้ว่ามีการทำลายพระพุทธ ศาสนา โดยขบวนการดังกล่าว เป็นไปอย่างเปิดเผย โดยอาศัยบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์ให้กับพวกตน มีการใช้อิทธิพลทุกรูปแบบรวมทั้งผลประโยชน์ที่แฝงมาในรูปต่าง ๆ ก่อให้เกิดการกระทำอันละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ละเมิดพระราชอำนาจองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จาบจ้วงทำลายพระราชาคณะ องค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย รวมไปถึงการเตรียมออกกฎหมายทำลายพระพุทธศาสนา โดยอ้างว่าเป็นกฎหมายลูกของรัฐธรรมนูญ ที่ขบวนการของตนได้สร้างกระแสให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา เพราะบุคคลที่เป็นประธานยกร่างรัฐธรรมนูญ ก็คือบุคคลคนเดียวกันที่เปลี่ยนบทลงโทษพระสงฆ์ให้จับสึกได้แม้ไม่มีความผิด และเปลี่ยน พ . ร . บ . คณะสงฆ์ พ . ศ . ๒๕๓๕ พร้อมกับบังคับให้วัดในพระพุทธศาสนาจดทะเบียนเป็นมูลนิธิ รวมไปถึงการออกกฎนิคหกรรมลงโทษพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาให้หนักขึ้น และบุคคลคนเดียวกันนี้เองที่ประกาศไม่ยอมให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ทั้ง ๆ ที่พุทธศานิกชนนับล้านลงชื่อเป็นประชามติก็ตามดังปรากฏหลักฐาน ( สนิท สีสำแดง , มหามิตร ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๗ กันยายน พ . ศ . ๒๕๔๒ , หน้า ๑๘ , โรงพิมพ์สยามรัฐ , กรุงเทพฯ ) ส่วนหนึ่งว่า
"......... ตอนนั้นกระแสของชาวพุทธ ซึ่งเปรียญธรรมสมาคมมี อาจารย์สังเวียน ภู่ระหงษ์ เป็นผู้นำ กำลังไหลแรง มีชาวพุทธมาร่วมลงชื่อขอให้ สสร . บัญญัติลงไปว่า
" ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ " มีผู้ลงชื่อเรียก ร้องจำนวนล้านกว่าคน รายชื่อทั้งหมดถูกนำ เสนอต่อประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ นายอุทัย พิมพ์ใจชน จากนั้นนายกสมาคมเปรียญธรรมได้จัดสัมนาแสดงประชามติ ณ หอประชุม พุทธมณฑล ... คุณอุทัยได้แสดงความคิดเห็นหลบหลีกต่อการที่จะบัญญัติว่า " ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติ "
ผลออกมาปรากฏมาตรานี้ในรัฐ ธรรมนูญ ( ปีพ . ศ . ๒๕๔๐ )
เบื้องลึกพวกเราได้สืบทราบว่ากรรมาธิการยกร่าง ซึ่งมีนายอานันท์ ปันยาร ชุน เป็นประธาน ไม่เห็นด้วย พวกเขาว่า ตายเป็นตาย ยอมไม่ได้ที่จะบัญญัติว่า ประเทศไทย มีพระ พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ...."
เบื้องลึกพวกเราได้สืบทราบว่ากรรมาธิการยกร่าง ซึ่งมีนายอานันท์ ปันยาร ชุน เป็นประธาน ไม่เห็นด้วย พวกเขาว่า ตายเป็นตาย ยอมไม่ได้ที่จะบัญญัติว่า ประเทศไทย มีพระ พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ...."
และ ท่านทราบหรือไม่ว่า จนบัดนี้ไม่มีใครในประเทศไทยสามารถบอกได้ว่า เหตุผลในการยอมตาย และไม่บัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาตินั้น แท้จริงแล้วคืออะไร แต่กลับตบหน้าโดยการฆาตกรรมพระพุทธศาสนา โดยบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันนั้นลงใน มาตรา ๗๒ ว่า "..... รัฐต้องมีหน้าที่ คุ้มครอง และ อุปถัมภ์ศาสนาอื่น " ????
การปฏิบัติการ " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " นั้นมิใช่หมายถึงว่าจะต้องปฏิบัติการโดยพระภิกษุสงฆ์เท่านั้น แต่บุคลากรที่ปฏิบัติการอาจจะเป็นบุคคลธรรมดาก็ได้ เช่นกรณีของ นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ " ฉบับวาติกัน " ซึ่งรับหน้าที่ " ไม่ยอมให้บัญญัติว่า พระ พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ " ในรัฐธรรมนูญปี พ . ศ .2540 ดังได้กล่าวแล้วนั้น มีหลักฐานประจักษ์ชัดที่สามารถยืนยันได้ว่า รัฐธรรมนูญปี พ . ศ .2540 ร่างตามนโยบายหรือคำสั่งของวาติกัน ดังปรากฏข้อมูล และคำศัพท์ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้น ไม่มีอยู่ในพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตย์ หรือแม้แต่ในศัพท์กฎหมายไทยแต่อย่างใด แต่กลับมีอยู่ในคำสั่งสอนของวาติกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อความในมาตราสำคัญของรัฐธรรมนูญกลับเป็น " มติที่ประชุมของสภาบิชอปคาทอลิกแห่งเอเซีย ข้อ 10" ( ประชุม เมืองบาเคียว ฟิลิปปินส์ พ . ศ . 2522)
"...... เรา ( วาติกัน ) เห็นว่าเวลานี้ประชาชนกำลังตื่นตัวและเห็นว่า
ยุค ยาวนานกำลังสิ้นสุดลง กล่าวคือ ยุคที่สังคมมนุษย์ถูก
เสี้ยม สอนให้ยอมรับชะตากรรมชีวิต เชื่อกฎแห่งกรรม ถูก
บังคับ ให้ยอมรับ นอบน้อม หมอบคลาน และยากจน ยอมรับ
ความเจ็บ ป่วย ความอยุติธรรม ความเอารัดเอาเปรียบ และการ
ที่ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองบริหารบ้านเมืองอย่างทุจริต และใช้ความ
เป็น ใหญ่ฉ้อโกงและกอบโกย
เรา ( วาติกัน ) เห็น ประชาชนกำลังหวังที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า
ที่สมบูรณ์ มีเสรีภาพกว่า ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ สำหรับตัวเขาเอง
สำหรับลูกหลาน ของเขา เขาอยากเห็นข้าวมากกว่านี้บนโต๊ะอาหาร
ของเขา เขาต้องการให้ลูกของเขาได้เล่าเรียนมีความรู้ เขาต้องการ
อิสรภาพ และ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มากกว่า นี้ เขาต้องการ
ให้สังคมรับรู้และยอมรับ สิทธิมนุษยชน ของเขา เพื่อเขาจะได้มี
ชีวิตอย่างมนุษย์ และเยี่ยงมนุษย์ ที่คู่ควรกับ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ "
หากพิจารณาดูแล้วจะเห็นว่านี่ก็คือ ข้อความปลุกระดมของลัทธิคอมมิวนิสต์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ใหม่ แต่ไม่น่าเชื่อว่านี่คือหลักการคาทอลิก ที่ใช้สร้างกระแสมวลชนให้มีความคิดแตกแยกในสังคมโดยไปที่ " ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ " ซึ่งเป็นหลักการคาทอลิก ซึ่งเป็นที่มาของขบวนการสิทธิมนุษย์ชนและ NGO ซึ่งจะสามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่ถูกต่อต้านจากรัฐบาลของประเทศนั้น ๆ ในประเทศไทยขบวนการคาทอลิกได้ทำการเคลื่อนไหว และด้วยหลักการนี้ บาดหลวงได้นำและทำการโค่นล้มรัฐบาลประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ระบบการทำงาน และอุดมการณ์ของเค้าได้เป็นอย่างดี ว่าจงรักภักดีต่อ " สันตะปาปา " มากกว่าแผ่นดินเกิดอย่างไร และในประเทศไทยก็มีกลุ่มนักธุรกิจคาทอลิก ได้สร้างกระแสร่วมกับองค์กรกลุ่ม " โกมลคีมทอง " นำโดยนายประเวศ วสี , นายพิภพ ธงชัย นายโคทม อาริยา ฯลฯ เป็นผู้นำ ออกมาเรียกร้องให้เปลี่ยนรัฐธรรมนูญโดยอ้างคำว่า " เสรีภาพ สิทธิมนุษย์ชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ " จนสามารถสร้างกระแสประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ สามารถบรรจุหลักการนี้เข้าเป็นเป็นบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ . ศ . ๒๕๔๐ หมวด ๑ บททั่วไป
มาตรา ๔ " ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ ฯลฯ หมวดที่ ๓ ว่าด้วย สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย มาตรา ๒๖ " การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ .." และ ยังสามารถแต่งตั้งคณะผู้ทำหน้าที่ตามคำสั่งของวาติกันนี้ ไว้เป็นบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญของประเทศไทยปี พ . ศ . ๒๕๔๐ ส่วนที่ ๘ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มาตรา ๑๙๙ ถึง มาตรา ๒๐๐ ( ท่านทราบหรือไม่ว่า ผู้ที่รับหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการคือ ผู้ที่นำประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์กรสิทธิมนุษยชนโลก โดยพละการไม่ได้ผ่านมติคณะรัฐมนตรีสมัย ๒๕๓๕
การรณรงค์เรียก ร้องรัฐธรรมนูญใช้ธงสีเขียว อันเป็นสีของ " อาณาจักรวาติกัน " และใช้คำขวัญว่า " เสรีภาพ และสิทธิมนุษยชน " ผู้นำในการรณรงค์ ทั้งสิ้นมีความสัมพันธ์ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมต่อสภาคริสต์จักรโลก รวมทั้งบุคลากรในองค์กรที่เคลื่อนไหวให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่คือฉบับ ปี พ . ศ .2540 บุคคลเหล่านั้นก็คือขบวนการที่ออกมาโจมตีพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาอย่าง ต่อเนื่อง รวมทั้งชี้นำไว้ล่วงหน้าก่อนจะมีการร่างรัฐธรรมนูญแล้วว่า จะไม่ยอมบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ นี่คือการใช้ยุทธวิธีปฏิบัติการ ระบบของ " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " ซึ่งจะสังเกตุได้ง่ายว่า บุคลากรที่ เคลื่อนไหวเหล่านี้ มีความเชี่ยวชาญชำนาญในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง และสามารถบิดเบือนได้อย่างคล่องแคล่วยิ่ง
อ่านแล้วเรื่องนี้มันลึกลับซ่อนเงื่อนมากมากแต่จะพยายามเข้าใจให้มากถึงมากที่สุด เพราะเกมส์นี้ไม่พ้นพวกเราชาวสยามเป็นแน่แท้
ตอบลบขอบคุณคุณจิมมี่มากนะคะ
คุณจิมมี่เป็นโปรเตสแตนนิกายอะไรอยากรู้ค่ะ
ตอบลบ