วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ระดมความคิดแก้วิกฤติชาติ..." 4/7 เมื่อถึงวันสิ้นชาติ ไม่มีโอกาสแก้ตัว "

ปฏิบัติการระบบสามประสาน (Triniti)


ภารกิจปฏิบัติการร่วมในประเทศไทย
โดย ข้อมูลของฝ่ายข่าวราชการลับระหว่างประเทศ ทำให้ได้หลักฐานอันยืนยันได้ว่า มีการประสานงานระหว่างวาติกันร่วมมือกับองค์การคอมมิวนิสต์ยุโรปจริง โดยการสั่งการผ่าน " สภาคริสต์จักรโลก " เป็นฐานบัญชาการ มีสำนักงานใหญ่อยู่ใน กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอแลนด์ นับตั้งแต่ พ . ศ .2491 โดยอยู่ภายใต้แผนงานของ " สภาบริหารคริสต์ศาสนา " และ จัดตั้ง " สภาสันติภาพแห่งประเทศไทย " ในปี พ . ศ .2494 ทำการเคลื่อนไหวในกลุ่มพุทธศาสนา พระภิกษุสามเณร และแทรกซึมอยู่ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ และองค์กรพุทธในมหาวิทยาลัยของรัฐ ดังได้กล่าวไปแล้วในบทที่ ๒ ต่อมาหลังจากที่ "สภาสันติภาพแห่งประเทศไทย" ถูกจับกุม กวาดล้างในปี พ . ศ . ๒๔๙๕ จากการสนับสนุนและวางแผนงานร่วมมือของ CIA จึงมีได้ปรับปรุงวิธีการและแนวปฏิบัติการแยกออกเป็น 2 สายคือ
๑ . สาย ที่ ๑ เคลื่อนไหวในชนบท ใช้ระบบป่าล้อมเมือง ใช้ชื่อของ
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนด้าน
อาวุธและการเงินจาก " พรรคคอมมิวนิสต์สากล "
๒ . สายที่ ๒ เคลื่อน ไหวในเมือง เข้าครอบงำสถาบันอุดมศึกษา ศาสนา การเมือง เศรษฐกิจและการทหาร ภายใต้การสนับสนุนด้านการเงินจาก " สภาคริสต์จักรโลก " และ " มูลนิธิ Asia Foundation "( หน่วยงานที่ทำหน้าที่เฟ้นหานักวิชาการ และนักการเมืองเข้าร่วมปฏิบัติการให้กับ CIA)


ทั้ง ๒ สายนี้จะทำงานสอดประสานรับนโยบายกันอย่างเป็นหนึ่งเดียว ทั้งในป่าและในเมือง รวมทั้งด้านการต่างประเทศ การกิจปฏิบัติ การของสายที่ ๑ มีหน้าที่สร้างสถานการณ์สู้รบ เพื่อให้ที่ปรึกษาทางทหารของอเมริกา MAP. (Military Assistant Program) แนะนำกระทรวงกลาโหม ให้ซื้ออาวุธผลิตจากประเทศอเมริกา และเพิ่มกำลังรบขึ้น นั่นหมายถึงการเพิ่มยุทธปัจจัย ซึ่งต้องล้วนซื้อหาจากประเทศมหาอำนาจ เพื่อนำมาใช้ปราบปรามผู้ก่อการร้ายที่ CIA ได้สร้างขึ้นนั้น เนื่องจากการสู้รบต่าง ๆ CIA จะเป็นผู้วางแผนการสู้รบให้ จึงปรากฏการสูญเสียน้อย เพราะข้อมูลทางทหารนั้น CIA ได้ ประสานข้อกับหน่วย MAP. ( ความเสียหายย่อมตกกับกองทัพไทย และทหารไทยผู้น่าสงสารกลายเป็นเครื่องทดลอง หรือเป้าเคลื่อนที่ให้ CIA ซึ่งเปรียบเสมือนเซลแมนที่มาสาธิตวิธีการใช้อาวุธ โดยมี ผกค. และทหารไทย เป็นเครื่องมือ !!! ) และเมื่อเกิดความแตกแยก ย่อมเกิดปัญหาชุมชนและขาดแคลนอาหาร " วาติกัน " จะสานต่อปฏิบัติการของ สายที่ ๑ โดยส่งบาดหลวงคาทอลิกเข้าไปให้การช่วยเหลือด้านอาหาร ปัจจัย และเครื่องนุ่งห่มไปให้กับมวลชนเหล่านั้น เพื่อกลืนศาสนา วัฒนธรรม และความเป็นชาตินิยม จึงจะเห็นได้ว่า ประชาชนชาวอิสาน ( ในพื้นที่สีแดง ) จะถูกดึงเข้าไปในเครือข่ายของ " วิติกัน " หมด ( สิ่งที่พึงสังเกตุคือ บาทหลวงที่เดินทางเข้าไปในเขต ผกค . ไม่เคยถูกซุ่มโจมตี หรือถูก ผกค. ฆ่าตาย แต่กลับพบว่า พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาถูก ผกค. ฆ่าตายนับจำนวนเป็นร้อย โดยเฉพาะพระธรรมทูตที่ออกไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในพื้นที่ซึ่งมีปฏิบัติการของ ผกค . ปัจจุบันประชาชนไทยในแถบภาคอิสานเกือบ ๘ จังหวัดนับถือคาทอลิก )


ภารกิจปฏิบัติการของสายที่ ๒ นี้ มีหน้าที่หาสมาชิกทุกรูปแบบ โดยใช้ชื่อแตกต่างกันไป ที่โดดเด่นเป็นที่รู้จักก็คือ " สภาปฏิวัติแห่งชาติ " ซึ่งมีนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เป็นแกนนำ พร้อมนั้นนายประเสริฐ มีตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และแฝงตัวเข้าสู่วงการราชทหารระดับสูงโดยเป็นผู้ เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ให้กับ " กองอำนวยการปราบปรามคอมมิวนิสต์ ( กอ . ปค .)" นายประเสริฐขยายผลเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยนำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นฐานเสียงให้พรรคการเมืองใหญ่พรรค หนึ่ง เพื่อใช้เป็นที่สร้างฐานการเมืองให้กับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทย ( พคท .) กองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทย ( ทปท .) พรรคการเมืองนี้จะแผ่อิทธิพลทางภาคใต้ สุราษฏร์ธานี - พัทลุง อยู่ภายใต้การชี้นำขององค์การพรรคคอมมิวนิสต์สากล โดยการ สนับด้านการเงินจาก " สภาคริสต์จักรโลก " ดังได้กล่าวแล้วนอกจากองค์การ CIA จะปฏิบัติการทางการสร้าง " ผู้ก่อการร้าย " แล้วยังเข้าไปบ่อนทำลายระบบการศึกษาของชาติด้วย โดยแทรกซึมเข้าสู่กระทรวงศึกษาธิการของไทย เพื่อทำการเปลี่ยนระบบการศึกษาของประเทศไทยทั้งระบบว่า 


" ให้ดำเนินการโดยของหน่วยงาน CIA ประจำประเทศไทย เพื่อเข้าไปปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาของไทยเสียใหม่ เราได้เห็นพ้องต้องกันมากว่า เป้าหมายการศึกษาตาม ที่กำหนดไว้ที่ประมวลหลักสูตรของไทยนั้น ต้องวางแบบแบบโดยสหรัฐอเมริกา " 


จากเอกสารทางวิชาการที่ยืนยันพฤติกรรมการแทรกซึมของ องค์การ CIA ในด้านการศึกษาไทยว่า "หน่วยงานของสหรัฐบางหน่วย มีหน้ากากเป็นมูลนิธิเพื่อการศึกษาและวัฒนธรรม ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ว่าเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยเฉพาะก็คือเป็นสาขา
ของ องค์การ CIA โดยได้รับเงินอุดหนุนจากองค์การ CIA มูลนิธิเช่นว่านี้มีหลายมูลนิธิด้วยกัน ที่สำคัญคือมูลนิธิเอเซีย ( Asia Foundation) ที่แทรกแซงเข้าไปในวงการศึกษาถึงขนาดมีเงินเดือนให้ คนมูลนิธิเอเซียนี้เคยถูกขับไล่ออกจากหลายประเทศ ในข้อหาว่าเข้าไปพัวพันแทรกแซงกิจการภายในของประเทศต่าง ๆ เช่นรายที่อื้อฉาวที่สุดก็คือ ในกรณีของประเทศอินเดีย"  


( สิ่งที่พิสูจน์ได้อีกกรณีหนึ่งของการเข้าครอบงำระบบการศึกษาของชาติ โดย " วาติกัน " ก็คือในเดือนมกราคม พ . ศ .2543 นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้แต่งตั้งให้ " บาทหลวง " เป็นคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ มีหน้าที่กำหนดแนวทางการศึกษาให้กับประชาชนและเยาวชนในประเทศไทย !!! ซึ่งทั้งนี้หมายรวมถึงการกำหนดหลักสูตรการเรียน การสอนวิชาพระพุทธศาสนา ของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทุกแห่งด้วย )


มูลนิธิเอเซีย (Asia Foundation) ได้ให้เงินสนับสนุนจัดตั้ง " มูลนิธิโกมลคีมทอง " ซึ่งบุคลากรที่เกี่ยวข้องในมูลนิธินี้ ล้วนมีส่วนในการเคลื่อนไหวทางด้าน การเมือง การปกครอง การเศรษฐกิจ การศาสนา การศึกษาของประเทศไทยทั้งสิ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเกิดจากการสร้างกระแสของ นายประเวศ วสี ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิโกมลคีมทองกับนาย ส . ศิวลักษณ์ ซึ่ง ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญในปี พ . ศ . 2540 อันขัดต่อเจตนารมย์ของประชาชนไทย ก่อให้เกิดความแตกแยกและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบการเมือง การปกครองของประเทศอย่างมหาศาล และโดยเฉพาะ นาย ส . ศิวลักษณ์ ก็ยังเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับ สภาคริสต์จักรโลก อย่างแนบแน่น พิสูจน์ได้จากหลักฐานในการที่ สภาคริสต์จักรโลกได้ จัดประชุมและมีมติให้สภาคริสต์จักร์ทั่วโลก ประท้วงประเทศไทยในกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม นาย ส . ศิวลักษณ์ ข้อหา " หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว " ทั้งให้ปล่อยตัว นาย ส . ศิวลักษณ์ อย่างไม่มีเงื่อนไข ( บ้านเมือง 19 สิงหาคม พ . ศ .2527)
 
นาย ส . ศิวลักษ์ ชื่อจริงว่า สุ ลักษ์ ศิวลักษ์ เดิมชื่อ นายสุลักษ์ แซ่เซียว บุตรชาวจีนอพยพ เกิดที่ท่าน้ำทรงวาด แขวงจักรวรรดิ ตนเองและบิดานับถือคาสนาคริสต์โรมันคาทอลิก ต่อมาเมื่อเกิดสงครามโลก บิดากลัวว่า นาย สุลักษณ์ จะมีอันตราย จึงเอาบุตรไปบวชเป็นเณรที่วัดทองนพคุณ ( ไม่ได้บวชพระ ) เมื่อสิ้นสงคราม จึงกลับไปเข้าคาทอลิกตามเดิม ศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ได้รับการคัดเลือก คัดเลือกไห้ได้รับทุนการศึกษาไปเรียนในประเทศอังกฤษ ทาง " สภาคริสต์จักรโลก " ได้จัดให้ประสานงานกับนายอานันท์ ปันยารชุน ที่กรุงลอนดอน จากนั้นได้นำเข้าไปเป็นโฆษกสถานีวิทยุ BBC ภาคภาษาไทย เมื่อกลับมาในประเทศไทย ได้รับหน้าที่ให้ดำเนินการเคลื่อนไหวขยายผลแผน " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " โดยใช้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นฐานปฏิบัติการ ตั้งหน่วยงานเคลื่อนไหวชื่อ " คณะกรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนา ( กศน .)" ที่ก่อตั้งขึ้นโดยคำสั่งของ " วาติกัน " ทั้งนี้ปรากฏหลักฐานการรับเงินสนับสนุนจาก CAFOD(Catholic Fund for Overseas Develop ment) ขยายผลแนวความคิดเข้าสู่ปัญญาชน ในสถานอุดมศึกษาชั้นนำของประเทศ และองค์กรสงฆ์
จัดตั้งหนังสือ " ปาจาริยสาร " สนับสนุนแนวปฏิบัติการของ " พรรคคอมมิวนิสต์สากล " 

 
นายประเวศ วสี เป็น นักเรียนทุนอานันทมหิดล คนที่ 2 ของประเทศไทย ได้ถูกคัดเลือกให้เข้าสู่แผนปฏิบัติการ " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " โดยนาย ส . ศิวลักษณ์ เพื่อทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงแนวความคิด และระบบการศึกษา เริ่มปฏิบัติการสู่สถาบันสงฆ์ ใช้โครงการแพทย์สมุนไพรชาวบ้าน โดยได้รับการสนับสนุนจาก "องค์กของวาติกัน Berad For the Word" ซึ่งมีบาทหลวงวูลฟ์ แกง สมิท เป็น ผู้ดูแล ปฏิบัติการขยายแนวร่วมในส่วนขององค์กรพระพุทธศาสนา เน้นหนักในกลุ่มพระสงฆ์ ทั้งนี้ด้วยผลการวิเคราะห์ว่า สังคมไทยเป็นสังคมพุทธ ประชาชนเชื่อพระสงฆ์เป็นครูบาอาจารย์ หากสามารถครอบคลุมพื้นที่พระสงฆ์หรือแนวพุทธศาสนา อันเป็นหลักของการศึกษาแล้ว การต่อต้านในการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษาจะน้อยลง ( ทำให้สามารถเปลี่ยนกรมฝึกหัดครู เป็นสถาบันราชพัฏ และผลักดันออกกฎหมายให้มหาวิทยาลัย ออกนอกการควบคุมหลักสูตรของรัฐและพุทธศาสนาได้สำเร็จ ) และจัดตั้งหนังสือ " หมอชาวบ้าน " เผยแพร่แนวความคิด 

 
บุคคล ทั้ง 3 ที่กล่าวนามนี้ หากสังเกตุให้ถ่องแท้จะเห็นว่า ล้วนเชี่ยวชาญในหลักการของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นผลจากการได้ผ่านหลักสูตรเฉพาะดังได้กล่าวแล้ว จึงเป็นตัวจักรสำคัญในการทำหน้าที่เคลื่อนไหวทางด้านการสร้างความแตกแยกความ คิด ขนบธรรมเนียม ศิลป วัฒนธรรม และสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งระบอบการปกครองของประเทศไทย และทำลายระบบชาตินิยมให้สิ้นไป เริ่มจัดตั้งฐานปฏิบัติการประชาชนใช้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และร้านขายหนังสือของนาย ส . ศิวลักษณ์ ใช้ ดร . ป๋วย อึ้งภากร เป็นภาพเชิงหลอนต่อสาธารณชน


จากหลักฐานการเคลื่อนไหวขององค์การต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง รวมทั้งกลุ่มบุคคลที่ดำเนินการในประเทศไทย ล้วนแต่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามาจากแหล่งเดียวกัน จึงจำเป็นต้องศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์ เหตุปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ให้ลึกลงไปถึงแก่นแท้ของวิกฤตการณ์ ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อหาทางแก้ไขและป้องกันสถาบันชาติ พระพุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเป็นความมั่นคงของชาติ อย่างถูกต้องและตรงต่อประเด็น และมิให้ตกอยู่ในกระแสความสับสนจากข้อมูลที่ได้ถูกสร้างขึ้นกลบเกลื่อนความ จริงแท้ต่อไป


ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ องค์กรคริสต์องค์กรหนึ่ง ได้ออกหนังสือบิดเบือนพระสัทธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยใช้ชื่อว่า " คริสตธรรม - พุทธรรม " อ้างชื่อท่านพุทธทาส และมีการนำใช้ศัพท์ในพระพุทธศาสนาไปใช้ ทำให้กรมการศาสนากระทรวงศึกษาธิการ ออกประกาศให้องค์กรคริสต์ศาสนาปฏิบัติตามกฎหมายซึ่งห้ามใช้คำในพระ พุทธศาสนา เช่นคำว่า " สังฆราช " ให้ใช้คำว่า " มุขนายก " เพราะ ผู้ที่จะเป็นสังฆราชได้นั้นจะต้องได้รับพระราชทานโปรดเกล้าแต่งตั้งจากองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น การใช้ หรือตั้งตำแหน่งดังกล่าว มีความผิดตามกฎหมายฐานละเมิดพระราชอำนาจองค์พระมหากษัตริย์ แต่องค์กรวาติกัน ก็มิได้ปฏิบัติตามแต่อย่างใด ยังละเมิดพระราชอำนาจองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นองค์พระประมุขของชาติอย่างท้าทาย และใช้มาจวบจนปัจจุบัน ( พ.ศ. ๒๕๔๓ )
 

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ องค์การ CIA แนวร่วมของวาติกัน ได้ย้ายฐานปฏิบัติการจาก เวียตนาม เข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการในประเทศไทย ที่ตึก ๕ ชั้น อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เป็นที่เรียบร้อย เริ่มปฏิบัติการร่วมกับ สภาคาทอลิกระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของ CIA ปฏิบัติการเชิงรุกในด้าน จิตวิทยาในประเทศไทย รวมทั้งสร้างสถานการณ์ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ขึ้นในพื้นที่ " ภูพาน " เพื่อ รองรับบุคลากรที่จะต้องถูกหลอกลวงให้เป็นเครื่องมือทำลายภาพพจน์ของทหาร และเป็นเงื่อนไขในการแบ่งแยกดินแดน ( ต่อมาเมื่อไม่สำเร็จจึงได้ทำการเคลื่อนไหวเปลี่ยนรัฐธรรมนูญในปี พ . ศ . ๒๕๓๘ ได้สำเร็จบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี พ . ศ . ๒๕๔๐ เรื่องการบริหารส่วนท้องถิ่นแทน ) ได้มีการตั้ง " สภาพุทธศาสนิกชนกลาง " ขึ้น ปฏิบัติการแทรกซึมและปลุกระดมพระสงฆ์สามเณรโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเซีย ซึ่งนับถือพระพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ ทำงานประสานกันกับหน่วย " วาติกัน " ชื่อ " คณะกรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนา ( กศน .)" โดยองค์การ CIA และวาติกัน ให้การสนับสนุนการเงินผ่านทาง มูลนิธิ Asia Foundation โดย มีนายส . ศิวลักษณ์ และนายประเวศ วสี ก่อตั้งมูลนิธิ " โกมลคีมทอง " ประสานงานต่างประเทศโดยนายเดวิด กอสลิง บาทหลวง ผู้อำนวยการฝ่ายคริสต์จักรกับสังคม แห่ง สภาคริสต์จักรโลก ณ กรุงเยนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งประสานปฏิบัติการกับ " พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ( พคท )" ใช้ " กลุ่มศึกษิตเสวนา " ซึ่ง สหายแสง รุ่งนิรันดรกุล นายทหารจรยุทธของ " กองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทย ( ทปท .)" อันจะทำงานประสานเป็นหนึ่งเดียวทุกเขตงานของคอมมิวนิสต์ไทย - ลาว แลกเปลี่ยนบุคลากรกับ กองทัพขบวนการประเทศลาว ( ทปล ) โดยผ่านทางภาคตะวันตกของลาวกับพื้นที่ภาคอิสานของไทยรวมทั้ง " องค์กรเซียม " ของเขมรแดง ( เขมรพอลพต ) ในประเทศกัมพูชาซึ่งตั้งขึ้นมาโดยองค์กร CIA และ องค์กรของ " วาติกัน "

เช่นเดียวกัน ทั้งหมดนี้คือความสำพันธ์ที่สอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกันอันปรากฏเป็นหลักฐาน ระหว่าง "วาติกัน" กับ "พรรคคอมมิวนิสต์" และ องค์การ CIA" ใน ภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก่อให้เกิดสงคราม การล้มล้างพระพุทธศาสนา และโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเบ็ดเสร็จ

สำหรับการทำลาย พระพุทธศาสนานั้น ใช้การทำลายโดยวิธีนำพระภิกษุสามเณรที่มีความฉลาดระดับอัจฉริยะปฏิบัติการใน ประเทศลาวเช่นพระมหาคำตัน เทพโมลี ซึ่งมีความรู้เปรียญธรรม ๖ ประโยค เมื่อสำเร็จหลักสูตรนี้แล้วได้กลับไปทำลายคณะสงฆ์ในประเทศลาว โดยปลดเกษียรเจ้าอาวาส ซึ่งขัดต่อหลักพุทธพจน์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงให้เคารพอาวุโส เป็นการจาบจ้วงพระธรรมวินัย ยกเลิกตำแหน่งพระราชาคณะ พระสงฆ์ลาวหลายหมื่นรูปถูกสึกและนำไปใช้แรงงานทาสจนกระทั่งมรณภาพ ในแขวงเวียงไชย พร้อมทั้งต้องเทศนาตามที่พรรคคอมมิวนิสต์ลาวกำหนดให้ สำหรับในประเทศไทยก็มีอยู่หลายรูปเช่นกัน หลักสูตรที่นำมาใช้อบรมแก่บุคลากรเพื่อใช้ทำลายพุทธศาสนาเรียกว่า "หลักสูตรพุทธ วิทยาเพื่อการปฏิวัติ" แบ่งออกเป็น ๕ วิชา คือ

๑ วิชา พระพุทธศาสนากับการลดกำลังอาวุธ
๒ วิชา พระพุทธศาสนากับการปกป้องนิเวศวิทยา
๓ วิชา พระพุทธศาสนากับอิสรภาพและสิทธิมนุษยชน
๔ วิชา พระพุทธศาสนากับสันติภาพของโลก
๕ วิชา พระพุทธศาสนาแนวสังคมนิยมเพื่อการปกครองประเทศ

หลักสูตรทั้งหมดเดิมไม่มีการอบรมอย่างเปิดเผย เนื่องจากว่าเป็นหลักสูตรที่ถูกกำหนดขึ้นโดย " องค์การคอมมิวนิสต์สากล " และใช้ผลของการอบรมนั้นปรากฏว่าบุคลากรหมู่ภิกษุสงฆ์สามเณรที่คัดสรรนั้น กลับไปทำงานทำลายพระพุทธศาสนาโดยใช้วิธีการ " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " อย่างได้ผล รวมทั้งสามารถทำลาย วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และสถาบันพระมหากษัตริย์ได้โดยสิ้นเชิง ( ได้มีการนำมาเผยแพร่นับตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมาโดยใช้คำว่า Good Governance ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น " ธรรมรัฐ " และในปี 2543 เปลี่ยนชื่อเป็น " ธรรมาภิบาล " โดยได้ร้บการสนับสนุนจากภาครัฐ และสถานศึกษา รวมทั้งทางสื่อสารมวลชนในประเทศไทย และแอบอ้างฝังตัวในพุทธบริษัทโดยใช้คำว่า " ธรรมมาธิปไตย " นำมาทำลายองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย และพระพุทธศาสนาในประเทศไทยขณะนี้ พ.ศ.2541-2543 เช่น การโจมตีพระภิกษุสงฆ์ ต่อต้านการสร้างวัด ห้ามเชื่อถือเทวดา และอภินิหาร ไม่มีนรกสวรรค์ ไม่มีกฏแห่งกรรม ทั้ง ๆ ที่ในพระพุทธศาสนามีบัญญัติไว้ในพระไตรปิฏก รวมทั้งอบรมพระสงฆ์ให้เทศนาในแนววาติกัน รวมทั้งใช้องค์กรพระสงฆ์ที่ได้ถูกอบรมโดยหลักสูตร " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " สร้างกระแสร่วมสนับสนุนกิจกรรม และการดำเนินการของ " วาติกัน " โดยออกมาโจมตีพระภิกษุสงฆ์ หรือคณะสงฆ์ที่ไม่เห็นด้วยกับการทำลายพระพุทธศาสนา ตัวอย่างเช่นเมื่อ มิ . ย .2543 องค์กรสงฆ์หนุ่มได้ออกมาเคลื่อนไหว กล่าวโจมตีจาบจ้วง พระเถระผู้ใหญ่ และยื่นหนังสือกับมหาเถรสมาคม ให้ดำเนินการทางวินัยแก่ " หลวงตามหาบัว " ฐานทำให้คนไทยเกิดความสามัคคี และรักษาสมบัติของชาติ " โดยอ้างว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ " )


ในส่วนของพระสงฆ์ชาวไทย ซึ่งได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อให้ปฏิบัติการตามแผน " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " คือ พระประยุทธ ปยุตฺโต ซึ่งทาง " สภาคริสตจักรโลก " ได้มอบให้นาย ส . ศิวลักษณ์เป็นผู้ชักนำโดยเริ่มจาก บาทหลวงโดแนล สแวเล่อร์ เป็นผู้มอบตำแหน่งให้ พระประยุทธ ได้เป็นสมาชิกกิติมศักดิ์ของ " สยามสมาคม " และกำหนดหน้าที่ให้เป็นวิทยากรประจำมูลนิธิโกมลคีมทอง เทศนา " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " มีฐานปฏิบัติการในเขตอิทธิพลวาติกันเชียงใหม่ ใช้วัดอุโมงค์เป็นสถานที่ประชุม ( อ่านรายละเอียดในพระพุทธศาสนา : ชะตาของชาติ ) ต่อมาได้ถูกส่งไปศึกษาวิชา " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " ในวิทยาลัย Swarthmore ของบาท หลวงโดแนล สแวเล่อร์ ที่มลรัฐเพ็นซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา เพื่อกลับมาทำหน้าที่ปรับปรุงหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา ให้กลมกลืนกับหลักการของ " วาติกัน " โดยเน้น " อิสรภาพ เสรีภาพ และ สิทธิมนุษยชน " ผลงานที่ปรับปรุงเสร็จและถูกนำไปบังคับเป็นหลักสูตรสถาบันราชภัฏ คือ หนังสือ " พุทธธรรม " พร้อมกับเคลื่อนไหวในเชิงลึก สร้างแนวร่วมในคณะสงฆ์ไทย ต่อมา พระประยุทธ ได้รับตำแหน่งเป็นพระธรรมปิฏก โดยการสนับสนุนของพรรคการเมืองที่ได้รับการอุปถัมภ์โดย " องค์กรพรรคคอมมิว นิสต์สากล " เพื่อให้พระประยุทธ ได้รับความเชื่อถือแก่สังคม การเมือง และข้าราชการ ทั้งนี้ทำให้พระประยุทธไม่สามารถแยกตัวออกมาได้ เนื่องจากการเข้าร่วมกับขบวนการดังกล่าวนั้น เป็นความผิดบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ ตาม พรบ . ป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นคอมมิว นิสต์ จึงกลายเป็นเครื่องมือให้กับขบวนการดังกล่าวนี้ ใช้แทรกซึมและทำลายสถาบันสงฆ์ไทยตลอดมา 


รวมทั้งยังสามารถสร้างความกลมกลืนชี้นำให้มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรพระพุทธ ศาสนาเดิมแท้ ให้แปรเปลี่ยนไปเป็น " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " จากการประสารเสริมของบุคลากรของขบวนการที่จัดตั้งอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ และเป็นที่มาของการยุบ " กรมการฝึกหัดครู " ตั้งใหม่เป็น " สถาบันราชภัฏ " ในปัจจุบัน ซึ่งแตกต่างไปจากวัตถุประสงค์ ในการสร้างบุคลากรเพื่อเป็นครูให้ความรู้แก่เยาวชนของชาติโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้ผู้ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าดำเนินการดังกล่าวคือ นายนิเชษฐ สุนทรพิทักษ์ อธิบดี กรมการฝึกหัดครู ( รายละเอียดโปรดอ่านใน พระพุทธศาสนา : ชะตาของชาติ , Dr. เบ็ญจ์ บาระกุล ) และทั้งนี้พระประยุทธ ยังเป็นตัวจักรสำคัญในการเปลี่ยนแปลงกฏหมายคณะสงฆ์ โดยเฉพาะ พระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งได้มีการยกร่างไว้ตั้งแต่ พ . ศ . ๒๕๓๖ ครั้ง นายสัมพันธ์ ทองสมัคร เป็น รมต . กระทรวงศึกษาฯ รัฐบาลชวน - ธารินทร์ จะเห็นได้ว่าเป็นการวางแผนงานไว้ล่วงหน้า

สิ่งที่พึงสังเกตุอย่างยิ่งก็คือ การประสานงานกันอย่างเหนียวแน่นในขบวนการนี้ โดยการสร้างกระแสชี้นำมวลชนให้เห็นว่า " พระพุทธศาสนาไม่เหมาะกับประเทศไทย " โดยนายเสถียร พงษ์ วรรณปก ปรากฏในหนังสือ ศิลปวัฒนธรรม ( เจ้าของหนังสือนี้คือ นายประเวศ วสี ) และการอภิปรายของพระประยุทธ ในกรณีไม่ควรให้มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ปรากฏในหนังสืออุดมธรรม จัดพิมพ์โดยมูลนิธิโกมลคีมทอง รวมทั้งนายประเวศ วสี ได้ลงบทความอันบิดเบือนหลักธรรมคำสอนโดยใช้แนว " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " ปรากฏในหนังสือพุทธธรรมกับสังคม มีข้อความชี้นำเชิงทำลายพระพุทธศาสนาปรากฏอยู่ในหน้าแรกว่า


" ประเทศ ไทยมีวัดกว่า ๒๕ , ๐๐๐ กว่าวัด พระกว่า ๒๐๐ , ๐๐๐ รูป เณรกว่า ๑๐๐ , ๐๐๐รูป พุทธศาสนิกอึกเต็มประเทศ ไฉนเราจึงมีปัญหาทางสังคมมากขึ้นเรื่อย ๆ บางอย่างถึงขั้นวิกฤติ ก็คงจะต้องลงความเห็นหนึ่งในสองทาง คือ หนึ่ง พระพุทธศาสนาไม่เกี่ยวกับความดี ความเลวในสังคม หรือ สอง ประเทศเรา ไม่ ได้ประยุกต์ พระพุทธศาสนา ...."
 

การทำลายระบบการปกครองคณะสงฆ์ไทย ( มหาเถรสมาคม )
โดย กฏหมายของราชอาณาจักรไทย ได้ให้การรับรองพระพุทธศาสนาไว้โดยแจ้งชัดเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ซึ่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระ ปรมาภิไธย รับรองให้เป็นสังฆมณฑลหนึ่งเดียวของประเทศ มีองค์สมเด็จพระสังฆราชฯ เป็นประมุข ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานถวายการแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง รวมทั้งพระราชาคณะ ( คำว่า ราชาคณะ แปลตามศัพท์ว่า พระสงฆ์ของพระมหากษัตริย์ ) ภาษาชาวบ้านเรียกว่า " เจ้าคุณ " นับตั้งแต่ ชั้นสามัญ ชั้นราช ขึ้นไปเรื่อย ๆ
 

การทำลายสถาบันพระพุทธศาสนาให้ ได้นั้น ต้องทำลายองค์กรคณะสงฆ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดและเป็นเหตุการณ์ที่ใกล้ที่สุดและเห็นได้ชัดในขณะนี้ ( พ . ศ . ๒๕๔๓ ) คือกรณี " วัดพระธรรม กาย " อันปรากฏเป็นภาพที่ถูกชี้นำโดยสื่อสารมวลชน ให้เห็นถึงความเสื่อม ความไร้ประสิทธิภาพของมหาเถรสมาคมองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย มีการสร้างกระแส การกระทำอันละเมิดทั้งกฏหมายและบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมากมาย ทั้งนี้เมื่อไม่ได้ลงลึกในข้อมูลแล้วจะไม่ทราบได้เลยว่า นี่คือปฏิบัติการของ " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " คือเลี้ยงให้อ้วนเพื่อเอาไว้ฆ่า 
 
กรณี " วัดพระธรรมกาย " นั้น กล่าวโดยสรุป ตามหลักฐานว่า ในปี พ . ศ . ๒๕๓๔ นาย ส . ศิวลักษ์ ได้สนับสนุนต่อสาธารณะชน โดยชี้นำสร้างกระแสว่า " วิชาธรรมกายนั้นปรากฏในพระไตรปิฏก การถวายข้าวพระพุทธนั้นเป็นการกระทำที่ถูกต้องของชาวพุทธ " พร้อมส่งบุคลากรเข้าไปช่วยเหลือดำเนินการ ให้เป็นที่ไว้วางใจ เพื่อประสานการทำงานกับขบวนการดังกล่าว และชี้นำเน้นหนักในเรื่องการ " ซื้อที่ดินเป็นของวัดธรรมกายให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ " และในขณะเดียวกันใน ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ นายอานันท์ ปันยารชุน ได้ประสานงานต่อเนื่อง โดยให้รางวัลดีเด่นมากมายหลายรางวัล เป็นตัวอย่างที่ดีของวัดทั้งหลายในประเทศ และในขณะเดียวกันนั้น นายอานันท์ ได้แก้ไข พรบ. คณะสงฆ์ ฉบับปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เสียใหม่ เพื่อให้รองรับกับ ประมวลกฏหมายแพ่งแลพาณิชย์ ว่าด้วยเรื่องมูลนิธิ เพื่อสามารถยึดที่ดินธรณีสงฆ์ได้โดยง่าย  


การส่งเสริมดังกล่าว นั้น ทำให้วัดพระธรรมกายได้รับความศรัทธาจากประชาชน ทั้งโดยการสร้างกระแสของขบวนการดังกล่าว เพื่อให้วัดนี้ใหญ่ขึ้น มีมวลชนมากยิ่งขึ้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ทำลายองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทยต่อไป เพราะเมื่อมีมวลชนมากเท่าใด นั่นหมายถึงการตัดสินใจต่าง ๆ ย่อมต้องใช้ความละเอียดรอบคอบมากขึ้นกว่าเดิม
 
ในต้นปี พ . ศ . ๒๕๔๐ ได้มีการก่อตั้ง ชมรมธรรมะร่วมสมัย จัดรายการทางสถานี อสมท . โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพื่อสนับสนุนขบวนการดังกล่าว และได้จัดตั้งศูนย์ศาสนสัมพันธ์ ขึ้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อรับบุคคลที่จบปริญญาตรี จากวิทยาลัยแสงธรรม เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท เอก โดยมีบุคลากรในขบวนการนี้เข้าเป็นอาจารย์สอนประจำ
 

ในปี พ . ศ . ๒๕๔๑ หลังรับรัฐธรรมนูญได้มีการสร้างกระแสชี้นำพระประยุทธ ให้เป็นที่ยอมรับของสังคม และในเดือน ก . ค . ปีเดียวกันนั้นโดยกลุ่มบุคคลคณะเดียวกัน เพื่อดึงให้มหาเถรสมาคม องค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย ต้องดำเนินการตาม พ . ร . บ . สงฆ์ แต่ทั้งสิ้นนั้นล้วนแล้วแต่ได้วางแผนไว้อย่างเป็นขั้นตอนมีการจัดตั้ง " ม๊อบ " ประท้วงการทำงานของพระเถรานุเถรกรรมการมหาเถรสมาคม สื่อมวลชนถูกดึงเข้าร่วมโจมตีซึ่งก็หมายถึงกลายเป็นเครื่องมือทำลายพระพุทธ ศาสนาไปโดยปริยาย ได้มีการสร้างกระแสทุกกรณีทำให้มหาเถรสมาคมไม่เป็นเอกเทศ ไม่สามารถนำพระธรรมวินัยมาใช้ในการตัดสินได้ เพราะกระแสจัดตั้งดังกล่าว ในที่พระราชาคณะซึ่งเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ก็ถูกตราหน้าจากสังคมว่าเป็นผู้มีความผิด บางท่านถูกถอดจากตำแหน่งโดยการชี้นำจากกลุ่มคณะเดียวกันนี้ ซึ่งได้อาศัยอิทธิพลทางการเมืองรัฐบาลชวน - ธารินทร์ ดำเนินการตลอดมา 

โดยวัตถุประสงค์ให้ประชาชนไทยเห็นว่า " พระพุทธศาสนา มิใช่เป็นสิ่งที่ดีงามสำหรับสังคม แม้แต่พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ยังทำทุจริต องค์กรปกครองคณะสงฆ์ยังคอรัปชั่น ซึ่งการ การประสานงานดังกล่าวได้กระทำอย่างเป็นรูปธรรม ( รายละเอียดค้นคว้าได้จากหอสมุดแห่งชาติ สำหรับเหตุการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ )
 

สาเหตุที่ถูกยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างนั้นมีจุดประสงค์ เพียงเพื่อต้องการออกกฏหมายใช้บังคับต่อพระพุทธศาสนา และพระภิกษุสงฆ์ไม่ให้ถือครองสิทธิบนที่ดิน ( ทั้ง ๆ ที่มีกฏหมายรองรับไว้ใน ปปพ . มาตรา ๑๖๒๓ ) เพราะในประเทศไทยนั้น พุทธศาสนสมบัติส่วของอสังหาริมทรัพย์ คือที่ดินมีอยู่อย่างมากมายเรียกว่า " ธรณีสงฆ์ " มีกฏหมายคุ้มครองแจ้งชัด ดังนั้นจึงต้องยกเลิกกฏหมายนี้ให้ได้ โดยออกกฏหมายใหม่ชื่อว่า " พ.ร.บ. อุปถัมภ์ และ คุ้มครองพระพุทธศาสนา " มาใช้แทน กฏหมายดังกล่าวให้อำนาจนักการเมือง NGO สามารถควบคุมอสังหาริมทรัพย์ของพุทธศาสนาได้ และกฏหมายดังกล่าวได้ถูกนำเสนอต่อนายชวน หลีกภัย โดยนายอำนวย สุวรรณคีรี สส . ประชาธิปัตย์ ในวันที่ ๒๒ ก . ค . ๒๕๔๒
 
ความสัมพันธ์ ความต่อเนื่องของปฏิบัติการต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าได้มีการดัดแปลง แก้ไข พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาโดยสิ้นเชิงโดยกลุ่มขบวนการดังกล่าวนี้ ได้ถูกนำเสนอต่อสื่อมวลชนทุกแขนงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนไม่สามารถแยกได้ว่าจริงเท็จ แท้ปลอมเป็นอย่างไร จากพยานหลักฐาน ข้อมูลล้วนแล้วแต่มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยตรง และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยตลอดมานั้น พิสูจน์ได้ว่าเป็นการปฏิบัติการร่วมของ CIA และ วาติกัน และประเทศมหาอำนาจ ทั้งด้านศาสนา วัฒนธรรม เศรษฐกิจ ปรากฏ การกระทำอันละเมิดกฎหมายโดยเจตนาของโรมันคาทอลิก ที่แสดงให้เห็นถึงการไม่ยอมอยู่ภายใต้กฎหมายไทย เห็นได้จากฎหมายไทยที่ระบุชัดไว้ใน พ.ร.บ. ที่ดิน รศ . ๑๒๘ ว่า
 

" ข้อ ๓ . ห้ามมิให้บาทหลวงมีที่ดินเป็นของตน ไม่ว่าบาทหลวงนั้นจะมีสัญชาติ อะไร แม้แต่คนสัญชาติไทยเมื่อเปลี่ยนเป็นบาทหลวงแล้วก็
ไม่ อาจถือครองที่ดินได้ ไม่ว่าจะมากน้อยเพียงใดก็ตาม "
 
สาเหตุ นี้ทำให้วาติกันได้ใช้เล่ห์เพทุบายเปลี่ยนคำเรียก " บาทหลวง " เป็นคำว่า " พระสงฆ์ " หรือ ทั้ง ๆ ที่เป็นการละเมิดต่อกฎหมาย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ามีบทบัญญัติของ กฎหมายได้รับรองให้พระสงฆ์ มีสมบัติ ได้ ซึ่งสามารถตกทอดเป็นมรดกได้ด้วย ใน ประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา ๑๖๒๓ นี่คือที่มาของการ ที่ " วาติกัน " ใช้คำว่า " พระสงฆ์ " เพื่อจะได้ใช้เป็นข้อกฎหมายในการครอบครองที่ดินได้อย่างถูกต้อง 
 
พร้อมกันนั้นได้ให้องค์กรของตนออกเคลื่อนไหวเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ โดยเริ่มจาก นายประเวศ วสี ผู้ร่วมก่อตั้ง " มูลนิธิโกมลคีมทอง " ซึ่งได้รับเงินช่วยเหลือจาก Asia Foundation เริ่มปฏิบัติการในปี พ . ศ . ๒๕๓๘ สำเร็จเป็นรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๕๔๐ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้มีการผิดพลาดหรือเกิดการเวนคืนที่ดินของบาทหลวงได้ จึงต้องมีการแก้กฎหมายให้มีการตกทอดทางมรดกคุ้มครองสมบัติของบาทหลวงได้ด้วยอย่างถาวร เพราะที่ดินของบาทหลวงนั้นหมายถึงที่ดินของรัฐวาติกัน โดยที่ดินนี้ถูกนำไปขึ้นบัญชีสมบัติ และควบคุมโดยกระทรวงเกี่ยวกับ พระศาสนจักรตะวันออก ( ดูแลผลประโยชน์ควบคุมภาคพื้นเอเซีย ) ดังนั้นจึงต้องดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายหลักของประเทศ โดยต้องระบุไว้ในรัฐธรรมนูญว่า " ห้ามมีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ " ซึ่งเป็นที่มาของการหมกเม็ดซ่อนเงื่อนไว้ในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ว่า 

 
มาตรา ๔๘ "... การสืบมรดกย่อมได้รับความคุ้มครอง สิทธิของบุคคลในการสืบมรดกย่อม เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ "
 

ซึ่งโดยความเป็นจริงบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรานี้ไม่จำเป็นต้องมี เพราะประเทศไทยมี " กฎหมายมรดก " คุ้มครองอยู่แล้ว ดังนั้นการบัญญัติดังกล่าวก็คือการปกป้องที่ดินอันเป็นอสังหาริม ทรัพย์ของ " รัฐวาติกัน " เท่านั้นไม่มีเหตุผลอื่นใด และหลังจากการผ่านรัฐธรรมนูญได้สำเร็จแล้วจึงจะเห็นได้ว่ามีการทำลายพระพุทธ ศาสนา โดยขบวนการดังกล่าว เป็นไปอย่างเปิดเผย โดยอาศัยบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์ให้กับพวกตน มีการใช้อิทธิพลทุกรูปแบบรวมทั้งผลประโยชน์ที่แฝงมาในรูปต่าง ๆ ก่อให้เกิดการกระทำอันละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ละเมิดพระราชอำนาจองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จาบจ้วงทำลายพระราชาคณะ องค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย รวมไปถึงการเตรียมออกกฎหมายทำลายพระพุทธศาสนา โดยอ้างว่าเป็นกฎหมายลูกของรัฐธรรมนูญ ที่ขบวนการของตนได้สร้างกระแสให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา เพราะบุคคลที่เป็นประธานยกร่างรัฐธรรมนูญ ก็คือบุคคลคนเดียวกันที่เปลี่ยนบทลงโทษพระสงฆ์ให้จับสึกได้แม้ไม่มีความผิด และเปลี่ยน พ . ร . บ . คณะสงฆ์ พ . ศ . ๒๕๓๕ พร้อมกับบังคับให้วัดในพระพุทธศาสนาจดทะเบียนเป็นมูลนิธิ รวมไปถึงการออกกฎนิคหกรรมลงโทษพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาให้หนักขึ้น และบุคคลคนเดียวกันนี้เองที่ประกาศไม่ยอมให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ทั้ง ๆ ที่พุทธศานิกชนนับล้านลงชื่อเป็นประชามติก็ตามดังปรากฏหลักฐาน ( สนิท สีสำแดง , มหามิตร ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๗ กันยายน พ . ศ . ๒๕๔๒ , หน้า ๑๘ , โรงพิมพ์สยามรัฐ , กรุงเทพฯ ) ส่วนหนึ่งว่า 
 
"......... ตอนนั้นกระแสของชาวพุทธ ซึ่งเปรียญธรรมสมาคมมี อาจารย์สังเวียน ภู่ระหงษ์ เป็นผู้นำ กำลังไหลแรง มีชาวพุทธมาร่วมลงชื่อขอให้ สสร . บัญญัติลงไปว่า


" ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ " มีผู้ลงชื่อเรียก ร้องจำนวนล้านกว่าคน รายชื่อทั้งหมดถูกนำ เสนอต่อประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ นายอุทัย พิมพ์ใจชน จากนั้นนายกสมาคมเปรียญธรรมได้จัดสัมนาแสดงประชามติ ณ หอประชุม พุทธมณฑล ... คุณอุทัยได้แสดงความคิดเห็นหลบหลีกต่อการที่จะบัญญัติว่า " ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติ "
 

ผลออกมาปรากฏมาตรานี้ในรัฐ ธรรมนูญ ( ปีพ . ศ . ๒๕๔๐ )
เบื้องลึกพวกเราได้สืบทราบว่ากรรมาธิการยกร่าง ซึ่งมีนายอานันท์ ปันยาร ชุน เป็นประธาน ไม่เห็นด้วย พวกเขาว่า ตายเป็นตาย ยอมไม่ได้ที่จะบัญญัติว่า ประเทศไทย มีพระ พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ...." 
 
และ ท่านทราบหรือไม่ว่า จนบัดนี้ไม่มีใครในประเทศไทยสามารถบอกได้ว่า เหตุผลในการยอมตาย และไม่บัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาตินั้น แท้จริงแล้วคืออะไร แต่กลับตบหน้าโดยการฆาตกรรมพระพุทธศาสนา โดยบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันนั้นลงใน มาตรา ๗๒ ว่า "..... รัฐต้องมีหน้าที่ คุ้มครอง และ อุปถัมภ์ศาสนาอื่น " ????



การปฏิบัติการ " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " นั้นมิใช่หมายถึงว่าจะต้องปฏิบัติการโดยพระภิกษุสงฆ์เท่านั้น แต่บุคลากรที่ปฏิบัติการอาจจะเป็นบุคคลธรรมดาก็ได้ เช่นกรณีของ นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ " ฉบับวาติกัน " ซึ่งรับหน้าที่ " ไม่ยอมให้บัญญัติว่า พระ พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ " ในรัฐธรรมนูญปี พ . ศ .2540 ดังได้กล่าวแล้วนั้น มีหลักฐานประจักษ์ชัดที่สามารถยืนยันได้ว่า รัฐธรรมนูญปี พ . ศ .2540 ร่างตามนโยบายหรือคำสั่งของวาติกัน ดังปรากฏข้อมูล และคำศัพท์ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้น ไม่มีอยู่ในพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตย์ หรือแม้แต่ในศัพท์กฎหมายไทยแต่อย่างใด แต่กลับมีอยู่ในคำสั่งสอนของวาติกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อความในมาตราสำคัญของรัฐธรรมนูญกลับเป็น " มติที่ประชุมของสภาบิชอปคาทอลิกแห่งเอเซีย ข้อ 10" ( ประชุม เมืองบาเคียว ฟิลิปปินส์ พ . ศ . 2522)


"...... เรา ( วาติกัน ) เห็นว่าเวลานี้ประชาชนกำลังตื่นตัวและเห็นว่า
ยุค ยาวนานกำลังสิ้นสุดลง กล่าวคือ ยุคที่สังคมมนุษย์ถูก
เสี้ยม สอนให้ยอมรับชะตากรรมชีวิต เชื่อกฎแห่งกรรม ถูก
บังคับ ให้ยอมรับ นอบน้อม หมอบคลาน และยากจน ยอมรับ
ความเจ็บ ป่วย ความอยุติธรรม ความเอารัดเอาเปรียบ และการ
ที่ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองบริหารบ้านเมืองอย่างทุจริต และใช้ความ
เป็น ใหญ่ฉ้อโกงและกอบโกย 

 
เรา ( วาติกัน ) เห็น ประชาชนกำลังหวังที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า
ที่สมบูรณ์ มีเสรีภาพกว่า ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ สำหรับตัวเขาเอง
สำหรับลูกหลาน ของเขา เขาอยากเห็นข้าวมากกว่านี้บนโต๊ะอาหาร
ของเขา เขาต้องการให้ลูกของเขาได้เล่าเรียนมีความรู้ เขาต้องการ
อิสรภาพ และ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มากกว่า นี้ เขาต้องการ
ให้สังคมรับรู้และยอมรับ สิทธิมนุษยชน ของเขา เพื่อเขาจะได้มี
ชีวิตอย่างมนุษย์ และเยี่ยงมนุษย์ ที่คู่ควรกับ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ "
 

หากพิจารณาดูแล้วจะเห็นว่านี่ก็คือ ข้อความปลุกระดมของลัทธิคอมมิวนิสต์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ใหม่ แต่ไม่น่าเชื่อว่านี่คือหลักการคาทอลิก ที่ใช้สร้างกระแสมวลชนให้มีความคิดแตกแยกในสังคมโดยไปที่ " ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ " ซึ่งเป็นหลักการคาทอลิก ซึ่งเป็นที่มาของขบวนการสิทธิมนุษย์ชนและ NGO ซึ่งจะสามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่ถูกต่อต้านจากรัฐบาลของประเทศนั้น ๆ ในประเทศไทยขบวนการคาทอลิกได้ทำการเคลื่อนไหว และด้วยหลักการนี้ บาดหลวงได้นำและทำการโค่นล้มรัฐบาลประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ระบบการทำงาน และอุดมการณ์ของเค้าได้เป็นอย่างดี ว่าจงรักภักดีต่อ " สันตะปาปา " มากกว่าแผ่นดินเกิดอย่างไร และในประเทศไทยก็มีกลุ่มนักธุรกิจคาทอลิก ได้สร้างกระแสร่วมกับองค์กรกลุ่ม " โกมลคีมทอง " นำโดยนายประเวศ วสี , นายพิภพ ธงชัย นายโคทม อาริยา ฯลฯ เป็นผู้นำ ออกมาเรียกร้องให้เปลี่ยนรัฐธรรมนูญโดยอ้างคำว่า " เสรีภาพ สิทธิมนุษย์ชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ " จนสามารถสร้างกระแสประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ สามารถบรรจุหลักการนี้เข้าเป็นเป็นบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ . ศ . ๒๕๔๐ หมวด ๑ บททั่วไป


มาตรา ๔ " ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ ฯลฯ หมวดที่ ๓ ว่าด้วย สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย มาตรา ๒๖ " การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ .." และ ยังสามารถแต่งตั้งคณะผู้ทำหน้าที่ตามคำสั่งของวาติกันนี้ ไว้เป็นบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญของประเทศไทยปี พ . ศ . ๒๕๔๐ ส่วนที่ ๘ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มาตรา ๑๙๙ ถึง มาตรา ๒๐๐ ( ท่านทราบหรือไม่ว่า ผู้ที่รับหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการคือ ผู้ที่นำประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์กรสิทธิมนุษยชนโลก โดยพละการไม่ได้ผ่านมติคณะรัฐมนตรีสมัย ๒๕๓๕


การรณรงค์เรียก ร้องรัฐธรรมนูญใช้ธงสีเขียว อันเป็นสีของ " อาณาจักรวาติกัน " และใช้คำขวัญว่า " เสรีภาพ และสิทธิมนุษยชน " ผู้นำในการรณรงค์ ทั้งสิ้นมีความสัมพันธ์ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมต่อสภาคริสต์จักรโลก รวมทั้งบุคลากรในองค์กรที่เคลื่อนไหวให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่คือฉบับ ปี พ . ศ .2540 บุคคลเหล่านั้นก็คือขบวนการที่ออกมาโจมตีพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาอย่าง ต่อเนื่อง รวมทั้งชี้นำไว้ล่วงหน้าก่อนจะมีการร่างรัฐธรรมนูญแล้วว่า จะไม่ยอมบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ นี่คือการใช้ยุทธวิธีปฏิบัติการ ระบบของ " พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ " ซึ่งจะสังเกตุได้ง่ายว่า บุคลากรที่ เคลื่อนไหวเหล่านี้ มีความเชี่ยวชาญชำนาญในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง และสามารถบิดเบือนได้อย่างคล่องแคล่วยิ่ง

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ21 พฤษภาคม 2553 เวลา 21:40

    อ่านแล้วเรื่องนี้มันลึกลับซ่อนเงื่อนมากมากแต่จะพยายามเข้าใจให้มากถึงมากที่สุด เพราะเกมส์นี้ไม่พ้นพวกเราชาวสยามเป็นแน่แท้

    ขอบคุณคุณจิมมี่มากนะคะ

    ตอบลบ
  2. คุณจิมมี่เป็นโปรเตสแตนนิกายอะไรอยากรู้ค่ะ

    ตอบลบ