วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

จดหมายถึงคุณสดใส 2

หลังจากที่ผมโพสต์เรื่อง "จดหมายถึงคุณสดใส" ก็มีคำถามเข้ามาจากผู้อ่านท่านนึงครับ และผมเชื่อว่าคำตอบคงจะเป็นประโยชน์กับอีกหลายๆท่านอีกเช่นกัน จึงขอเขียนในเรื่องนี้อีกซักโพสต์ แล้วท่านก็นำไปศึกษา ค้นคว้าและต่อยอดกันออกไปนะครับ

"อยากถามคุณจิมมี่ว่า ที่อเมริกา หากน้ำประปาที่ไม่ได้ต้ม แต่กรองก่อน จะปลอดภัยหรือไม่ และที่เมืองไทย น้ำประปาเขาใส่ฟลูออไรด์หรือเปล่า "

ขอตอบอย่างตรงไปตรงมานะครับว่า...ไม่แน่ใจ เหตุผลก็เพราะหลายทศวรรษแล้วที่ภาครัฐโฆษณาชวนเชื่ออยู่ตลอดเวลาว่าน้ำประปาที่เปิดจากก๊อกดื่มได้เลย ได้มาตรฐานอย่างนั้นอย่างนี้ ได้มาตรฐานของ WHO ว่าไปโน่น แล้วรู้ไม่ครับว่า WHO จริงๆแล้วเป็นใคร วาระต่างๆขององค์การนี้มาจากไหน??? และด้วยเหตุผลนี้ครัวเรือนอเมริกันจึงไม่ใส่ใจกับเรื่อง "เครื่องกรองน้ำ" ดังนั้นแทบจะนับจำนวนได้เลยครับสำหรับบ้านที่จะติดตั้งเครื่องกรองน้ำไว้เพื่อผลิตน้ำดื่มกันอย่างเป็นจริงเป็นจัง

บ้านที่ผมเคยอาศัยอยู่หลายๆหลัง ในหลายๆหลายๆรัฐ  ก็พอเห็นบ้างครับ แต่.....เป็นเพียงหัวสวมเล็กๆที่ปลายก๊อกน้ำขนาดไม่ใหญ่กว่ากำปั้นเท่านั้นเอง จะให้เห็นเป็นเครื่องใหญ่ๆติดกำแพงหรือตั้งพื้นเหมือนบ้านเราแทบไม่มี ดังนั้นผมจึงต้องตอบว่าไม่แน่ใจครับ เพื่อให้ระวัง หลังจากที่ผมค้นคว้าข้อมูลเรื่องการปนเปื้อนฟลูออไรด์ในน้ำ ผมจะยอมเสียเวลาต้มน้ำโดยเฉพาะสำหรับดื่มดีกว่าครับ แล้วเก็บใส่ขวดไว้ดื่ม จะมากแค่ไหนในแต่ละครั้งก็แล้วแต่สะดวก สำหรับน้ำส่วนอื่นๆก็คงไม่ซีเรียสเท่าไหร่

เรื่องการปนเปื้อนฟลูออไรด์ในน้ำนี่มีกรณีศึกษามากมายเลยครับ เช่นที่ LA หรือลอสแองเจลลีส ในมลรัฐแคลิฟอเนีย เกิดกรณี "ผมเปลี่ยนสี" เกิดกับคนไทยนี่แหละครับจากสีดำสนิทกลายเป็นสีน้ำตาลลงเรื่อยๆ ทั้งที่อายุเพิ่งจะสามสิบต้นๆนี่แหละครับ หนึ่งในนั้นก็เป็นเพื่อนผมเองที่ไปอาศัยอยู่ที่นั่นนานกว่า 10 ปีแล้ว ที่น่าคิดก็คือ ไม่ใช่เคสเดียวที่เกิดขึ้นกับคนๆเดียวครับ เจออีกมากมาย แต่คนส่วนใหญ่ไม่เคยคิดว่ามันเป็นประเด็น จนผมมาค้นเจอเพิ่มเติมในภายหลัง ซึ่งตอนแรกที่เพื่อนผมมาบอก ผมยังคิดว่า มันคิดมากไปหรือเปล่า แต่เราก็คุยกันแล้วก็รับฟังไว้ ดังนั้นผมจึงย้อนคิดกลับไปว่า ในตอนนั้นตัวเรายังคิดอย่างนี้เลย "เพราะความไม่รู้" และไม่ได้เจอกับตัวเอง จึงต้องคิดต่อไปว่าแล้วจะมีคนอีกจำนวนมากเท่าไหร่ที่คิดเหมือนเราในตอนนั้น !!

ลองใช้เวลาค้นคว้าเรื่องนี้ซักหน่อยสิครับ ล้วงให้ลึก ค้นลงไปในรายละเอียด ทุกอย่างถูกใส่ไว้ในอินเตอร์เนตแล้วจากฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้อง ในเฉพาะประเด็นการเติมฟลูออไรด์ลงไปในน้ำประเด็นเดียวนี่แหละครับ โดยเฉพาะข้อมูลวิจัย สถิติ ตัวเลข กราฟต่างๆเต็มไปหมด ปริมาณการปนเปื้อนมากน้อยแตกต่างกันออกไปในแต่ละรัฐ

ใครเป็นคนทำคนแรกรู้ไม๊ครับ?? คำตอบคือ " อดอล์ฟ ฮิตเล่อร์" หรือพรรคนาซีเยอรมันนั่นแหละครับ จุดประสงค์ก็เพื่อสังหารหมู่ชาวยิวในค่ายกักกันที่มีจำนวนหลายล้านคนในยุโรปในสงครามตอนนั้น ให้ตายเยอะ ตายเร็ว ไม่ต้องเปลืองแรงงาน เสียเวลา หรือลูกกระสุน ก็เลยกลายเป็นการค้นคว้า ต่อยอด ทดลองไปในตัวโดยการลดปริมาณการปนเปื้อนลง แล้วให้เกิดการสะสมในบลักษณะของสารพิษตกค้างในร่างกายในระดับต่างๆ ทำให้เกิดโรคแปลกๆใหม่ๆในมนุษย์ หนึ่งในนั้นแน่นอนก็คือ อัลไซเมอร์ ซึ่งเกิดจากการสะสมของหินปูนในส่วนต่างๆในสมอง และอีกมากมายหลายโรคครับ......โรคสมัยใหม่เหล่านี้เค้า(Power that Be)บอกเราว่ายังที่หาสาเหตุที่มาไม่ได้ แต่...กลับมีการผลิต คิดค้น "ยารักษา" ออกมาขายให้ครับ !! 

ยังไม่ต้องเชื่อข้อมูลเหล่านี้นะครับ จุดคือคุณต้องค้นคว้าเอง ศึกษาเอง แล้วค่อยเชื่อในสิ่งที่คุณเจอด้วยตัวเอง เอาสิ่งเหล่านั้นมาใคร่ครวญแล้วประติดประต่อเข้าด้วยกัน คุณจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดในที่สุด และสิ่งเหล่านี้แหละครับมันจะพาคุณไปพบอะไรที่ไม่ชอบมาพากลในอีกหลายๆเรื่องรอบๆตัวเรา ถ้าถามว่าเค้าทำเพื่ออะไร หากคุณอ่านสิ่งที่ผมเขียนมานานๆคงจะเห็นผ่านตาบ้าง แต่ถ้ายังไม่เห็น ผมให้คีย์เวิร์ดไว้ว่าเป็นการ "Depopulation" หรือการลดประชากร หากสนใจลองค้นหาต่อไปดูครับ และอีกทางคือเพื่อการค้า เพราะกลุ่มทุนการเมืองที่ปกครองอเมริกาและยุโรปอยู่ทุกวันนี้ก็คือกลุ่มบิ๊กไฟว์ หรือ 5 อันดับของบริษัทยา เวชภัณฑ์และการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกนั่นเอง แล้วก็เป็นกลุ่มบริษัทยาที่ครองตลาดยาในประเทศไทยและทั่วโลกอยู่ทุกวันนี้ ดังนั้นลองตั้งสมมุติฐานดูสิครับว่า โรคระบาด โรคภัยไข้เจ็บแปลกๆใหม่ๆเหล่านี้ มาจากไหน???    

ส่วนของประเทศไทยมีการปนเปื้อนฟลูออไรด์หรือไม่ผมยังไม่มีข้อมูลครับ เพราะผมติดนิสัยการติดเครื่องกรองน้ำชนิด "ประสิทธิภาพสูง" หรือต้มน้ำโดยเฉพาะสำหรับดื่มไปเสียแล้ว ผมจึงไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไหร่ แต่เท่าที่รู้มาคือ "มี" ครับ ก็คงไปเอาหลักคิดเดียวกับเค้ามานั่นแหละครับ โดนเค้าหลอกกันมาเป็นทอดๆ "ฝรั่งมันว่าดี เราก็ว่าดี" ก็เพราะส่วนหนึ่งไปร่ำเรียนจนจบดีกรีต่างๆจนทำให้มีหลักคิดเดียวกันมาจากเค้าอีกที คนถึงป่วยกันเต็มบ้านเต็มเมือง "ยารักษาโรค" กลายเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 เทียบเคียงกับอาหาร ที่อยู่อาศัย และเครื่องนุ่งห่ม หลายคนจำใจกินยาแทนอาหารก็มี เพราะกินทีเป็นกำมือเพราะอุดมไปด้วย "โรค" แล้วก็อิ่มไปเลยครับ กลายเป็นเรื่องปกติไปเสียอีก  เฮ้ออออออ...


ลิ๊งค์สำหรับเฟสบุ๊ค :
The Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook
http://www.facebook.com/home.php?sk=group_170408246326805&ap=

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น