วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

" วันนี้คุณดื่มนมแล้วหรือยัง ".....อีกหนึ่ง Agenda โดยกลุ่ม NWO 1/4

ขอเริ่มต้นด้วยประโยคค่อนข้างรุนแรงอย่างนี้แหละครับ

เพราะผมคิดแบบนั้นจริงๆ คนไทยถูกบริษัทขายนมปลูกฝังความคิดว่านมวัวเป็นอาหารที่สุดเลิศ เด็กน้อยจะแข็งแรงตัวสูงและฉลาด ต้องดื่มนมวัว อืม…โฆษณาล่าสุดที่ผมนึกได้ คือ “ไม่เสียแรงเปล่า ที่เราดื่มนม” เด็กผู้หญิงน่ารักท่าทางแข็งแรง สะพายเป้ไว้ข้างหลังเดินขึ้นเนินด้วยความคล่องแคล่ว เจอเด็กผู้ชายกำลังลากเป้ขึ้นเนิน แล้วเด็กผู้หญิงก็เอาเป้เด็กผู้ชายมาสะพายข้างหน้าเดินขึ้นเนินพร้อม 2 เป้ ด้วยความแคล่วคล่องว่องไว……..และจบด้วย….. “ไม่เสียแรงเปล่า ที่เราดื่มนม” นี่มันเทคนิคการโฆษณา เทคนิคทางการตลาดชัดๆ แน่จริงเอางานวิจัยมาว่ากันสิ…


บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมวัวครับ แต่ใช้น้ำจากอกแม่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ (….ค่าน้ำนมแม่นี้ จะมีอะไรเปรียบเหมือน…) มากกว่า 30 ปี ที่คนไทยโดนหลอกจะด้วยตั้งใจ ไม่ตั้งใจ หรือรู้เท่าไม่ถึงการ ทำให้คนไทยส่วนใหญ่เชื่อว่า นมวัวคืออาหารจำเป็นสำหรับเด็กทุกคนจะขาดเสียไม่ได้


ไม่จริงหรอกครับ ก็แค่โปรตีนกะแคลเซียมในนม อาหารไทยๆของเราอย่างอื่นก็มีครับ น่องไก่ 1 ชิ้นมีโปรตีนมากกว่านม 1 กล่องครับ ไข่ไก่ 1 ฟองหรือนมถั่วเหลือง 1 กล่อง ก็มีโปรตีนพอๆกับนมวัว 1 กล่องครับ แคลเซียมในปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง กุ้งเสียบ มีมากกว่านมเป็น 10 เท่า


ประมาณ พ.ศ.2500 มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ เอาหางนมวัวมาบริจาคให้เด็กไทยสมัยนั้น นัยว่าฝรั่งสงสารเด็กไทยที่มีปัญหาขาดสารอาหาร แต่จริงๆคือการระบายหางนมที่ฝรั่งช้อนเอาเนยไปกินหมดแล้ว แทนที่เขาจะเอาหางนมไปทิ้งทะเล ก็บริจาคให้เด็กไทยกินจะได้ดูเป็นการกุศล แต่มีวาระซ้อนเร้นคือการอ่อยเหยื่อ? ศ.นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข เล่าว่า ในสมัยนั้นเด็กไทยที่ดื่มนมวัวบริจาคพากันท้องเสียหมด เพราะว่าเด็กไทยไม่คุ้นเคยกับน้ำตาลและโปรตีนในนม นั่นคือ เด็กไทยแพ้นมวัว แต่เรื่องดังกล่าวถูกมองว่าไม่ใช่ปัญหา ก็ให้เด็กค่อยๆชินกับนมวัวทีละนิดจนดูเหมือนเด็กจะดื่มนมได้ การบริจาคครั้งนั้นจึงเป็นการเปิดทางให้ฝรั่งขายนมวัวให้กับเมืองไทยนั่นเอง***


***John D. Rockyfeller ประธานมูลนิธิร๊ํอกกี้เฟลเลอร์ เป็นหนึ่งในผู้นำระดับสูงของกลุ่ม NWO ในสายธุรกิจอาหาร การแพทย์ และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง FED

จากการศึกษาของรพ.จุฬาลงกรณ์ และ รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ พบว่า ถ้าเทียบอัตราแพ้นมวัวเฉพาะในเด็กทารกกับทารกด้วยกันเองจะพบว่า ตัวเลขของอาการแพ้นมวัวมีมากถึง 50% ของทารกที่ดื่มนมวัว

แบลงก้า-มาเรียและคณะ พบว่า เด็กทารกที่มีคนในครอบครัวมีประวัติภูมิแพ้ หากดื่มนมวัวจะมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้ 20% แต่ถ้าดื่มนมแม่แต่เพียงอย่างเดียว อัตราเสี่ยงต่อภูมิแพ้จะมีเพียง 0.5-1.5% เท่านั้น ในอังกฤษ มีการศึกษาในเด็ก 1,456 คน พบว่าหากเด็กดื่มนมแม่นานกว่า 3 เดือน เด็กจะป่วยด้วยโรคหอบหืด 10.3% หากดื่มนมแม่น้อยกว่านั้นจะเกิดหอบหืด 17.1%


มีงานวิจัยหลายสิบชิ้นตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ทั่วโลกยืนยันเรื่องการดื่มนม ส่งผลต่อโรคภูมิแพ้ รวมทั้งงานวิจัยของ ศ.นพ.สุขสวัสดิ์ เพ็ญสุวรรณ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ท่านทดลองให้พลทหารไทยดื่มนม แล้วส่องกล้องดูลำไส้ ปรากฏว่าพลทหารเหล่านั้น ต่างมีเยื่อเมือกลำไส้บวมหมดทั้ง 100% ของกลุ่มผู้รับการทดลอง

ถึงตอนนี้ท่านคงตั้งคำถามว่าอะไรในนมวัว ที่ทำให้เด็กแพ้ มีอย่างน้อย 2 อย่างครับคือ
1.โปรตีนในนมชื่อว่า เบต้าแล็กโตโกลบูลิน
2.น้ำตาลในนมที่เรียกว่า แล็กโตส

เบต้าแล็กโตโกลบูลิน เป็นโปรตีนที่มีในนมวัว แต่ไม่มีในนมแม่ เนื่องจากโปรตีนในนมวัวตัวนี้เป็นโปรตีนขนาดเล็กจึงสามารถถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดของร่างกายได้ทั้งสาย โดยไม่ต้องย่อยให้เป็นกรดอะมิโนเสียก่อนแบบที่เราเคยเข้าใจ สมัยก่อนเราคิดว่าโปรตีนอะไรก็ตามจะไม่เข้าไปทั้งสายเต็มรูป นั่นคือโปรตีนทั้งหลายหากจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายก็จะต้องถูกน้ำย่อยทำให้ แตกตัวออกเป็นกรดอะมิโนก่อน แต่ปัจจุบันความเชื่อนี้เปลี่ยนไปแล้ว 

เมื่อนักวิทยาศาสตร์มีความรู้มากขึ้น เขาก็รู้ว่าโปรตีนบางชนิดมีขนาดเล็ก เช่น โปรตีนในนม กระทั่งโปรตีนที่เป็นเอนไซม์บางตัวสามารถถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายโดยคงรูป ไว้เช่นเดิม ดังนั้น โปรตีนในนมวัวจึงเข้าไปเป็นโปรตีนแปลกปลอมในร่างกาย และหากโปรตีนแปลกปลอมอย่างเบต้าแล็กโตโกลบูลินในน้ำนมวัวเกิดเข้าไปในร่างกายแล้วร่างกายก็จะโต้ตอบโดยมีปฏิกิริยาของภูมิแพ้

การที่แพ้น้ำตาลในนมวัว ที่แพ้เพราะแล็กโตส ข้อเท็จจริงแล็กโตส
เป็นน้ำตาลในนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกประเภท ในน้ำนมคนก็มีน้ำตาลนี้ถูกย่อยโดยเอนไซม์แล็กเตส ได้เป็นกลูโคสและกาแล็กโตส ร่างกายเราใช้น้ำตาลแล็กโตสไม่ได้แต่ใช้ น้ำตาลกลูโคสและกาแล็กโตสได้ ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมรวมถึงคนเรา เมื่อเกิดมาใหม่ๆ ทารกต้องดื่มนมเป็นหลัก ธรรมชาติก็ให้น้ำย่อยมาย่อยนมในลำไส้ แต่เมื่อเด็กโตขึ้นหรือสัตว์โตขึ้น เอนไซม์แล็กเตสก็จะหายไป และจะหายไปหมดเมื่อเด็กอายุประมาณ 2 ปี นี่คือสัญญาณทางธรรมชาติที่บอกว่า เด็กควรงดดื่มนมได้แล้วเมื่ออายุมากกว่า 2 ปี ท่านเคยเห็นสัตว์ที่โตแล้วอะไรบ้างที่ดื่มนม นอกจากมนุษย์

แล้วนมวัวสัมพันธ์กับโรคภูมิแพ้อย่างไร ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าร่างกายของเรามีวิธีจัดการกับโปรตีนแปลกปลอมหรือสาร ก่อภูมิแพ้ต่างๆอย่างไร ร่างกายเราจะนำอิมมูโนโกลบูลินหรือสารที่ทำหน้าที่ต้านทานชนิดหนึ่ง ไปจับกับสารแปลกปลอมเอาไว้ ซึ่งอิมมูโนโกลบูลินที่ร่างกายใช้กำราบสารแปลกปลอมคือ IgA


หากเด็กดื่มนมวัวเข้าไป ร่างกายจะเอา IgA ไปจับกับโปรตีนจากนมวัวสายนี้เอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้โปรตีนแปลกปลอมรุกล้ำเข้าไปในร่างกายแล้วก่อให้เกิด ปฏิกิริยาภูมิแแพ้ที่อาจจะเป็นอันตรายได้ หากดื่มนมวัวเป็นประจำและดื่มเป็นจำนวนมาก ร่างกายก็จะเปลือง IgA มาก และเมื่อ IgA ถูกขนไปเรียงรายตลอดความยาวของลำไส้ IgA ที่อยู่แถวเนื้อเยื่ออ่อนของทางเดินหายใจและผิวหนังก็จะมีน้อยกว่าปกติ จนไม่อาจต้านทานโปรตีนแปลกปลอมอื่นที่อาจเข้าสู่ร่างกายทางนี้ได้ ยิ่งถ้าเป็นภูมิแพ้โดยกรรมพันธุ์อยู่แล้ว จะมี IgA ในร่างกายน้อยกว่าชาวบ้านเค้าก็เสร็จกันสิ ความเสี่ยงของอาการแพ้อากาศและผื่นแพ้ที่ผิวหนังก็มากขึ้นตามไปด้วย


ผมเป็นเภสัชกรที่รักษาผู้ป่วยด้วยยาร่วมกับวิธีการทางธรรมชาติบำบัด ขอเล่าตัวอย่างผู้ป่วยที่ผมให้เลิกดื่มนมแล้วโรคภัยหายไป 3 ตัวอย่าง (ความจริงขอโม้ว่า…ตัวอย่างผู้ป่วยที่หายขาดจากโรคเรื้อรังต่างๆมีอีกเพียบ )


กรณีที่ 1 เด็กชาย 2.5 ปี เป็นโรคหอบหืดเรื้อรัง รักษาที่รพ.ใหญ่แห่งหนึ่งแต่อาการไม่ดีขึ้นจนเด็กต้องกินยาขยายหลอดลมแทบทุกวัน เนื่องจากมักมีอาการหอบตอนกลางคืนแทบทุกคืน พ่อเด็กเป็นเพื่อนบ้านกัน มาถามผมว่าทำไงดีหมอ ผมบอกว่าให้ลองเลิกดื่มนมผงสิ ตอนแรกไม่เชื่อ แต่อาการเด็กน่าเป็นห่วงจึงกลับมาหาผมใหม่ ผมจึงบอกไปว่าลองทดลองเลิกดื่มนมวัวดูสัก 1 อาทิตย์ดูก็ได้ ระหว่างนี้ก็ให้กินน้ำเต้าหู้แทนนมสิ ปัจจุบันเด็กคนนี้หายขาดจากโรคหอบหืดแล้ว


กรณีที่ 2 เด็กชาย 8 ปี เป็นโรคภูมแพ้เรื้อรังแสดงออกทางระบบทางเดินหายใจ การเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ แพทย์ที่ตรวจรักษาประจำบอกว่าต้องดื่มนมวันละ 3 แก้วทุกวัน แม่เด็กเป็นคนไข้ประจำของร้านยาผม วันนั้นเล่าเรื่องปัญหาสุขภาพของลูกชายคนเล็กให้ผมฟัง ผมบอกว่าก็ให้ลูกเลิกดื่มนมสิ..โตตั้ง 8 ขวบแล้วไม่ต้องดื่มแล้วก็อธิบายเหมือนกับข้อเขียนข้างต้นนี้แหละ แม่เด็กเชื่อ ปัจจุบันน้องคนนี้ไม่มีปัญหาโรคภูมิแพ้และการเจริญเติบโตปกติทันเพื่อนรุ่น เดียวกันแล้ว


กรณีที่ 3 ผู้หญิงวัยทำงาน อายุไม่น่าเกิน 27 ปี มีปัญหา คัดจมูกเรื้อรัง ผมซักประวัติพบว่าเธอดื่มนมแทบทุกวัน ผมให้เลิกดื่มนมร่วมกับการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดและศาสตร์แพทย์แผนจีนบางอย่าง

ปัจจุบันเธอหายขาดจากอาการคัดจมูกเรื้อรังแล้ว

คำบรรยายโดย คุณหมอ อารีย์ วชิรมโน 

I'm about to tell you to stop all dairy consumption, so here are some facts that will hopefully make that easier for you:

Cows' milk contains viruses, pus, bacteria, powerful growth hormones, allergy-producing proteins, antibiotics, pesticides and dioxin, a dangerous chemical known to cause cancer.

Even organic cow's milk contains 59 different hormones, as milk is nature's way of delivering hormones to newborns, whether they are human or not. This means that mothers' milk from any mammal, including cows, goats and humans, is not healthy in adulthood. Cows only begin to produce milk when they have a calf, so their milk is intended and formulated for calves.

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ20 มีนาคม 2553 เวลา 02:08

    ว๊าว! เมื่อวานเพิ่งซื้อนมมา 2 แพ๊คเลยค่ะ **
    แถมเบคอนอีกนิด...

    T0T"...

    aari

    ตอบลบ