วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ระดมความคิดแก้วิกฤติชาติ....... " 2/7 เมื่อถึงวันสิ้นชาติ ไม่มีโอกาสแก้ตัว "

"พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ"

ปฏิบัติการร่วมของ วาติกัน กับ องค์กร CIA

สำหรับ ประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา

กำเนิดของพุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ

"พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ" เป็นหลักสูตรหนึ่งที่ถูกกำหนดขึ้นโดย "พรรคคอมมิวนิสต์สากล" (ระบอบคอมมิวนิสต์ถูกออกแบบโดยกลุ่มอีลูมินาติ ดูปฏิบัติการมารครองโลก คลิก!! ) ที่มีความเกี่ยวข้องกับประเทศมหาอำนาจ ซึ่งมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญของชาติตนว่า 


"We have right to carry arm, to protect our interest with all part of the world "
เรามีความชอบธรรมที่จะ ใช้กำลังอาวุธ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของเรา ในทุกภูมิภาคของโลกและองค์กรศาสนา ที่สัมพันธ์ประสานงานเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน


ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอธิบายโดยละเอียดถึงภูมิหลัง ของแต่ละส่วน ๆ ว่าเกี่ยวข้องสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน และมีความเป็นมาอย่างไร ? มีเหตุผลสนับสนุนประการใด จึงทำให้มีปฏิบัติการนี้ใช้กับประเทศไทย เพื่อความกระจ่างในข้อมูลและมิให้เป็นข้อปัญหาสงสัย สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษา หรือหาแนวทางป้องกันประเทศชาติให้รอดพ้นจากมหันตภัย ที่เกิดขึ้นต่อประเทศไทยอันเป็นที่รักของเรา โดยละเอียด


๑.อาณาจักรวาติกัน
(Vatican Empire)

ระบบบริหารแบบจักรพรรดิเดียว(One Word Emperor)

การควบคุมปกครองและบริหารของอาณาจักรคาทอลิก จะใช้ระบบที่เรียกว่า โรมัน คิวเรีย หรือ คิวเรีย โรมานา(Roman Curia, Curia Romana) ระบบดังกล่าวนี้นักประวัติศาสตร์จะทราบดีว่า เป็นระบบที่จักรวรรดิโรมันใช้บริหารบ้านเมืองมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้น ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

คำว่า "คิวเรีย"(Curia) หมายถึง หมู่ หรือ กอง ที่แยกออกไปต่างหาก แต่สามารถออกเสียงมีส่วนในการปกครอง พิจารณาชี้ขาดในปัญหาสำคัญของอาณาจักรได้ เมื่อมีปัญหาภายในอาณาจักรด้านการปกครองเกิดขึ้น ก็จะจัดให้มีการประชุมกลางลานใหญ่เรียกว่า "ฟอรั่ม"(Forum) ฝ่ายใดมีเสียงมากกว่าก็ชนะไป เมื่อจักรวรรดิโรมันแผ่ขยายออกไป"คิวเรีย"ก็จะมีจำนวนมากขึ้นแต่การตัดสินโดยเด็ดขาดจะขึ้นอยู่กับ "จักรพรรดิโรมัน" เพียงผู้เดียวเท่านั้น

การถือ กำเนิดของ "โรมันคาทอลิก" นั้นมาจากคริสต์ศาสนิกคาทอลิก ได้หักหลังชาวคริสเตียนด้วยกัน โดยหันไปร่วมมือกับชาวโรมันทางการเมือง เกิดขึ้นในยุคของจักรพรรดิธีโอโดซุสที่ 1 ผู้สร้างนโยบายทำลายล้างศาสนาอื่นเป็นหลักปฏิบัติของโรมันคาทอลิกอย่างเข้มงวด โดยให้ประชาชนพลเมืองของโรม ทำลายเทวรูป วิหาร ศาสนสถานที่ไม่ใช่โรมันคาทอลิกให้หมดไปจากกรุงโรม อันเป็นที่มาของบทบัญญัติว่าด้วยการห้ามบูชารูปเคารพ พร้อมกับห้ามทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้าอื่นใดทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง ผู้ที่ไม่นับถือคริสต์ศาสนา (นิกายโรมันคาทอลิก) ต้องถูกนำไปให้สิงห์โตกิน หรือฆ่าทิ้ง และผู้ที่นับถือโรมันคาทอลิกแล้วห้ามละทิ้งคาทอลิกมีโทษถึงตาย พร้อมกับใช้กองทัพรุกรานดินแดนอื่นโดยอ้างว่าเป็นการเผยแพร่ศาสนา ยึดดินแดนแล้วเข้าครอบครอง อันเป็นวิธีของจักรวรรดิโรมัน ด้วยคำร้องขอของโรมันคาทอลิก ทำให้โรมออกกฤษฏีกาฉบับหนึ่งชื่อว่า "เธสะโลนิกา" ให้คริสต์ศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติของโรมันจึง เรียกว่า "นิกายโรมันคาทอลิก"และ มีนโยบายว่ามีจักรพรรดิในโลกเพียงองค์เดียว คือ สันตะปาปา กฎหมายเดียว สัญชาติเดียว และศาสนาเดียวคือโรมันคาทอลิก ในกฤษฏีกานี้ระบุชัดว่า พลเมืองทั้งโลกจะต้องนับถือโรมันคาทอลิก ตามคำสั่งสอนของเปโตร ที่นำคำสั่งของพระเจ้ามามอบให้กับชาวโรมันโดยเฉพาะ (โดยคำกล่าวอ้างของนิกายโรมันคาทอลิก) ด้วยการใช้ระบบการเผยแพร่ศาสนาโดยใช้สงครามนำหน้าดังนี้ จึงทำให้ผู้นำศาสนาโรมันคาทอลิกหรือที่เรียกว่า "สันตะปาปา" ต้องทำหน้าที่เป็น "นักฆ่าในคราบนักบุญ" ปรากฏในประวัติศาสตร์วาติกันเอง เช่น



"......สันตะปาปา อเล็กซานเดอร์ที่ 6 ได้ฆ่าคนตายมากมายโดย ..ฯลฯ"

จงใจเป็นการส่วนตัว ทั้งโดยการวางยาพิษด้วยมือตนเอง

ทั้งเป็นการยุให้แตกและทำสงครามทำลายล้างกันเอง

สันตะปาปา ยูลที่ 2 ได้เป็นแม่ทัพนำเหล่าบิชอฟ บาทหลวง

และศาสนิกโรมันคาทอลิก เข้าสนามรบเข่นฆ่าแย่งชิงดินแดน


คิวเรีย โรมานา(Curia Romana) ในความหมายของโรมันคาทอลิกคือ องค์กรสูงสุดของ


ศาสนจักรโรมัน คาทอลิก ซึ่งประกอบด้วยองค์กรปกครอง บริหาร ฯลฯ โดยเริ่มมาตั้งแต่ คริสตศตวรรษที่ 11 โดยระยะแรก สันตะปาปาได้ใช้อำนาจปกครองบริหารโดยผ่าน "สภาซีโนต" อันประกอบด้วยพวกนักบวช(The Clergy of Rome) ได้พัฒนาเป็น"สภานักบวช(Presbyterium)" จากสภานักบวชนี้เองจึงได้มีการขยายตัวไปเป็น "สภาคาร์ดินัล(The College of Cardinals)" ซึ่งทำหน้าที่อันสำคัญในการวางแผนยุทธศาสตร์การรบ และการวางตัวแม่ทัพเข้าบุกยึดพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อขยายอาณาจักรของโรมันคาทอลิก

การใช้ระบบการ บริหารแบบ คิวเรีย โรมานา แม้ระยะเวลาจะล่วงเลยมานับพันปี โรมันคาทอลิก ก็ยังคงใช้ระบบคิวเรียโรมานาของจักรวรรดิโรมันเช่นเดิมมิได้เปลี่ยนแปลง ที่เป็นดังนี้ก็เพราะการเข้ายึดครองประเทศต่าง ๆ โดยใช้ข้ออ้างว่าเป็นการประกาศศาสนานั้น โดยความเป็นจริงแล้วก็คือการยึดครองประเทศดังกล่าวเป็นอาณานิคม(Colony) ของโรมันคาทอลิก ซึ่งจะใช้การปกครองโดยกฎหมายของโรมันคาทอลิก ไม่ยอมรับอำนาจการปกครองใด ๆ ของประเทศนั้น ๆ ไม่ว่าเป็นทางด้านกฎหมาย หรือข้อปฏิบัติทั้งสิ้น จึงเป็นลักษณะการยึดครองแบบเงียบ ๆ และไร้การต่อต้านจากเจ้าของประเทศโดยข้ออ้างว่า "เป็นความเชื่อทางศาสนา" ดังนั้น วาติกันโรมันคาทอลิก จึงมีอาณานิคม(Colony)ของ ตน กระจัดกระจายไปทั่วโลก ที่มีเนื้อที่เชื่อมต่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยมีนครหลวงคือ "วาติกัน" ใช้ธงพื้น "สีเขียว" มี "รูปไม้กางเขนสีขาวอยู่ กึ่งกลาง" มีประมุขคือ "สันตะปาปา" ซึ่งจะเห็นได้ถึงการสั่งสอนว่า "กษัตริย์ของโรมันคาทอลิก คือ สันตะปาปา" 


เลือกไปเถอะชาวอเมริกัน มีสองคนนี้แหละที่เราเลือกมาให้แล้วคือจอร์จ ดับเบิ้ลยู บูช และ อัล กอร์ โดยพระคาดินัลเอ็ดเวิร์ด อีแกน คลิก!! แห่งสำนักนิวยอร์ค เป็นผู้ประสานงานในการเลือกและวางตัวประธานาธิบดีสหรัฐ และเป็นผู้ร่างกฏหมายที่สำคัญต่างๆ ภายใต้การบงการของกลุ่มอีลูมินาติและวาติกัน


8 ปีผ่านไป เค้าเลือกมาให้อีก 2 คน เลือกไปเถอะชาวอเมริกัน มีสองคนนี้แหละที่เค้าเลือกมาให้แล้วคือจอห์น แมคเคนและบารัค โอบาม่า แต่โอบาม่าต้องชนะและได้เป็นประธานาธิบดี สื่อยักษ์ใหญ่ทั้ง 5 ในเครือข่ายของเค้าจึงต้องเชียร์ฝั่งนี้ โดยเฉพาะ CNN เพราะเค้าวางทุกอย่างที่โอบาม่าต้องขึ้นมาทำไว้เสร็จหมดแล้ว การบริหารงานทั้งหมดของวอชิงตันจะต้องส่งรายงานตรงไปที่สำนักนิวยอร์ค นี่หรือครับโลกเสรี ที่เราเรียกว่าประชาธิปไตย และเป็นประชาธิปไตยที่สุดในโลก คงพอจะเข้าใจแล้วนะครับ!!! คำถามคือเรากำลังเรียกร้องสิ่งนี้กันอยู่หรือครับ


จากการประสานร่วมมือระหว่างกองทัพโรมันกับศาสนจักรโรมันคาทอลิก ทำให้พื้นที่อาณาจักรกว้างขวางขึ้น การปกครองและการบริหารที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น จึงได้มีการปรับโครงสร้างการบริหารใหม่ ในปี ค.ศ. 1588 สมัยของ สันตะปาปา ซิกสตุสที่ 5 ได้ประกาศธรรมนูญการปกครองอาณาจักรโรมันคาทอลิก ชื่อว่า อิมเมนซา แอคเทอร์นี่ เดีย(Immensa Actterni Die) กำหนดนโยบายและรูปแบบ วางหลักเกณฑ์การบริหารไว้ในรูปของกระทรวง(Congregations) สำนัก (Bureaus) สำนักงาน(Offices) รวมทั้งนโยบายขยายอาณาจักรโรมันคาทอลิก ออกไปยังทุกพื้นที่ของโลก โดยมี "เป้าหมายหลักของการทำลายให้สิ้นไปคือ สถาบันพระมหากษัตริย์" ที่ไม่ยอมเข้ารีตเป็นโรมันคาทอลิกนั่นก็คือการไม่ยอมรับสันตะปาปาว่าเป็น จักรพรรดิแห่งกษัตริย์ทั้งปวง จึงเป็นเป้าหมายหลักเพราะกษัตริย์องค์นั้นถูกกำหนดให้เป็นผู้นำประชาชน เป็นศัตรูของพระเจ้า


จากภาพนี้คงพอจะบอกเราได้ว่าใครอยู่เบื้องหลังสหภาพยุโรป และอังกฤษ คำถามคือกำลังเกิดอะไรขึ้นกับกรีซและสหภาพยุโรป เค้าล้มกรีซและเงินยูโรทำไม เค้าต้องการอะไรที่มากกว่านั้นหรือไม่??? คอยจับตาสกุลเงินยูโรต่อจากนี้ครับ แล้วตามด้วยเงินปอนด์อังกฤษ และเงินดอลล่าสหรัฐในที่สุด

ดังนั้น สถาบันกษัตริย์ในทุกประเทศในอดีต จึงถูกโค่นล้มจนแทบหมดสิ้นไปจากโลก ที่เหลืออยู่ก็ต้องยอมเข้ารีตเป็นโรมันคาทอลิก และเมื่อใดที่วาติกันไม่พอใจก็ต้องถูกโค่นล้มในที่สุด (ดูการล้มราชวงศ์โรมานอฟแห่งรัสเซีย และพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศษในปฏิบัติการมารครองโลก)

ฉะนั้น แม้ในประเทศที่โรมันคาทอลิกสามารถเข้าไปตั้งอยู่นั้น แม้จะมีกษัตริย์ปกครองอยู่ก่อนแล้วก็จะถูกถือว่าเป็นเพียงกษัตริย์ที่เป็น เมืองขึ้นของวาติกัน ไม่ได้เป็นที่ยอมรับว่าเป็นประมุขของพวกที่เป็นศาสนิกของโรมันคาทอลิกแต่ อย่างใดทั้งสิ้น



การจัดระบบบริหาร

ข้อมูลเฉพาะที่ปรากฏต่อ สายตาชาวโลกนั้น จะพบหน่วยงานดังนี้เท่านั้น คือ
1. องค์สันตะปาปา
2. สภาสากล และสมัชชาบิชอปสากล
3. บาทหลวงผู้สอนศาสนา
 

- สันตะปาปา จะสั่งการโดยผ่านสำนักงานต่อไปนี้ คือ

1. สำนักงานเสมียนตรา(The Apostolic Chancery) มีหน้าที่โต้ตอบหนังสือ
2. สำนักงานพระคลัง(The Prefaceture for Financial Affairs of The Holy See) มี
หน้าที่จัดการเรื่องทรัพย์สิน ฝ่ายแผ่นดินของศาสนจักร(ที่ดินของคริสเตียนทั่วโลก)
3. สำนักงานเลขาธิการแห่งรัฐ(Secretariat of State) มีหน้าที่ติดต่อกับต่างประเทศ (คือกระทรวงการต่าง ประเทศ มีทูตประจำประเทศต่าง ๆ ด้วย)

- ศาลเฉพาะตน(โรมันคาทอลิค) มี 3 ศาล คือ
1. ศาลเกี่ยวกับศีลแก้บาป(Sacred Apostolic Paenitentiary) ตัดสินคดีเรื่องที่ชาวคริสต์เตียนโรมันคาทอลิคทำผิด
2. กงจักรโรมัน(Sacred Roman Rota) ตัดสินคดีภายนอก เช่น เกี่ยวกับการหย่าร้างการแต่งงาน
3. ศาลฏีกา(Supreme Tribunal of the Apostolic Signature) เป็นศาลสูงสุดมีสันตะปาปา เป็นประธาน

- กระทรวงและสำนักงานเลขาธิการ (ปัจจุบันมี ๑๐ กระทรวง)
1. กระทรวงพระสัจธรรม
2. กระทรวงเกี่ยวกับมุขนายก(แต่งตั้งมุขนายก)
3. กระทรวงเกี่ยวกับพระศาสนจักรตะวันออก(ดูแลผลประโยชน์ควบคุมเฉพาะภาคพื้นเอเซีย)
4. กระทรวงศีลศักดิ์สิทธิ์และคารวะกิจ
5. กระทรวงเกี่ยวกับบาทหลวงประจำมิชชัง
6. กระทรวงเกี่ยวกับบาทหลวงประจำคณะ
7. กระทรวงเผยแพร่พระวารสาร (ออกเอกสารสั่งการลับ Vatican Bulletin)
8. กระทรวงพิจารณาบันทึกนามนักบุญ(บันทึกชื่อผู้ขยายอาณาจักร(Colony) แสวงหาผลประโยชน์ให้กับวาติกันได้มากที่สุด)
9. กระทรวงการศึกษาคาทอลิก
10. กระทรวงโฆษณาเผยแพร่ศาสนา(The Secred Congregation of Propaganda) 



บัญชาการ ตามแผน VATICAN COUNCIL 2 แบบมิชชั่น
- สำนักงานเลขาธิการสำหรับผู้ไม่นับถือคริสต์ศาสนา(Secretariat for Non - Chistians)

ปฏิบัติตามแผน VATICAN COUNCIL 2 แบบเกลื่อนกลืน (ในแต่ละกระทรวงจะมี
คาดินัล ทำหน้าที่เป็น รัฐมนตรีว่าการ(Prefect) เลขาธิการ(Secretary) 

รองเลขาธิการ(Undersecretary) ทำหน้าที่บริหารงานตามที่ได้รับมอบหมาย หรือสั่งการจากสันตะปาปา 


วาติกันคือ ประเทศ
การ ที่จะถือว่าพื้นที่ใดในโลกเป็น "ประเทศ" หรือไม่ ? ก็ให้ดูว่าพลเมืองในดินแดนที่เขาอยู่นั้นถือสัญชาติอะไร ? หากชนในชาตินั้นถือสัญชาติเป็นอย่างเดียวกับพื้นที่นั้นก็แสดงว่าเป็นประเทศ และประเทศใดประชาชนในของตนถือสัญชาติตามประเทศอื่น ก็แสดงว่าประเทศนั้นเป็นเมืองขึ้นของประเทศที่พลเมืองของตนไปถือสัญชาติไว้ สิ่งยืนยันชัดว่า นครวาติกันนั้นเป็นประเทศซึ่งสามารถอ้างอิงและพิสูจน์ได้เอกสารของวาติกัน ซึ่งได้ระบุไว้ว่า

"...... พลเมืองวาติกัน ประเภทที่ 1 ทั่วไป หมายความถึง พลเมืองของทุก ๆชาติ "ที่เป็นคาทอลิก" เขาเหล่านั้นและคือ "พลเมืองของวาติกัน ต้องอยู่ภายใต้


กฎหมาย ของวาติกัน โดยเคร่งครัด เขาเหล่านี้คือ "พลเมืองวาติกันถาวร" พลเมือง วาติกัน ประเภทที่ 2 เฉพาะ หมายความถึง ผู้ที่ทำหน้าที่ภายในพื้นที่แห่งนครวาติกัน จำนวน 1,000 คน อันประกอบด้วย สันตะปาปา คาร์นินัล  ผู้ปกครองนครวาติกัน เจ้าหน้าที่ประจำกระทรวง สำนักงานของรัฐวาติกัน และ ทหารชาวสวิส ซึ่งจะปฏิบัติหน้าที่เป็นทหารองครักษ์ของสันตะปาปาจำนวน 100 คน นอกจากนี้ยัง รวมถึงเจ้าหน้าที่การทูตของรัฐวาติกัน ซึ่งประจำอยู่ในประเทศต่าง ๆ

พลเมืองวาติกัน ประเภททึ่ 2 นี้ จะได้รับ "สัญชาติชาติวาติกันชั่วคราว"
เฉพาะในขณะปฏิบัติหน้าที่ หรือเป็นภรรยาของพลเมืองวาติกัน หากถือเป็นบุตรอายุไม่ถึง 25 ปีต้องคืนกลับสัญชาติเดิมจะได้รับ "สัญชาติวาติกันชั่วคราว" เฉพาะในขณะปฏิบัติหน้าที่ หรือเป็นภรรยาของพลเมืองวาติกัน หรือเป็นบุตรอายุไม่ถึง 25 ปี และต้องคืนกลับสัญชาติ เดิมเมื่ออายุได้ 25 ปี ...."

.......... นครวาติกัน มีเนื้อที่ 108 เอเคอร์ ตามสนธิสัญญาแห่งลาตรัน นครวาติกัน

ประกอบด้วย วังวาติกัน วังกาลเตลกันดอนโฟ อันเป็นที่ประทับพักร้อนของสันตะปาปา อยู่นอกชานกรุง โรมไปทางใต้ มหาวิทยาลัยเกรโกเรียน และมหาวิหารเซนปิเตอร์ พิพิธภัณฑ์วาติกัน หอสมุดวาติกัน ภายในบริเวณดังกล่าวมีอุทยานอันงดงาม มีสถานีวิทยุ โทรทัศน์ เครือข่ายดาวเทียม ที่ทำการไปรษณีย์ สถานีรถไฟ ร้านค้าปลอดภาษีทุกชนิด

".............โดยสนธิสัญญาลาตรัน ระหว่าง นครวาติกัน กับประเทศอิตาลี มีผลทำให้วาติกัน มีสิทธิเหนือดินแดนในฐานะเป็นประเทศ โดยมี สันตะปาปาเป็นกษัตริย์ราชา........" จากข้อความในเอกสารของวาติกัน คงหมดข้อสงสัยว่า "วาติกัน" เป็นประเทศจริงหรือไม่ ??
และ คำว่า "สัญชาติวาติกัน" ได้ถูกกำหนดไว้ชัด ดังนั้นเมื่อใช้คำว่า "สัญชาติ" จึงไม่มีคำตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า "วาติกัน คือ ประเทศหนึ่ง " เท่านั้น

จะเห็นได้ว่าอาณาจักรโรมันคาทอลิก มีการบริหารเป็นรัฐ และใช้การยึดครองประเทศอื่นเป็นอาณานิคม โดยล่าศาสนิกและประกาศเป็น "เขตมิชซัง" ทำให้มีอาณาจักรหรือดินแดนแทรกซ้อนแฝงอยู่ในประเทศอื่น ๆ เป็นอาณาจักรแฝงเร้นอยู่ในอาณาจักรของประเทศอื่นเขา กลไกการปกครองและการบริหารที่วาติกันสามารถใช้ได้อย่างเหมาะสมก็คือระบบโบราณ เท่านั้นในการยึดครองประเทศอื่น ๆ ของโรมันคาทอลิกก็คือ วาติกันจะทำเป็นไม่รู้โดยใช้ชื่อตำแหน่งทางศาสนา เพื่อซ่อนพราง เช่น คาดินัลบ้าง บิชอปบ้าง ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ขุนนางเหล่านี้ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติและข้อบังคับพิเศษของวาติกัน ซึ่งเรียกว่า "ธรรมนูญหรือกฎหมาย" ไม่ใช่จากคำสั่งสอนในคัมภีร์ไบเบิลทั้งสิ้น นี่คือความจริง ปรากฏตามเอกสารของวาติกัน ซึ่งจะยกมาเป็นตัวอย่าง ดังนี้

ใน ปี ค.ศ.๑๙๐๘ สันตะปาปา เซ็นต์ ปิอุสที่ 10 ได้เพิ่มเติมกฎระเบียบจากของเก่าเดิมอีก เพื่อให้ประโยชน์ในทางรุก เป็นธรรมนูญการปกครองอาณาจักรโรมันคาทอลิก ชื่อว่า ซาเปียนติ คอนสิลิโอ(Sapienti Consilio) ได้ประกาศใช้เป็นข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเข้มงวดเรียกว่า

กฎหมายวินัย (Canon Law) ในปี ค.ศ.๑๙๑๗

ใน ปี ค.ศ.๑๙๖๗ ได้เพิ่มเติมหน่วยงานเข้าไปอีกเพื่อขยายปฏิบัติการ ให้สามารถมีอิทธิพลควบคุมผลประโยชน์ได้ทั้งโลก จากมติที่ประชุมสภาวาติกัน 2 (VATICAN COUNCIL 2) จึงได้ประกาศเป็นธรรมนูญการปกครองอาณาจักรโรมันคาทอลิก ชื่อว่า เรจิไมนี่ เอคคลีเซีย ยูนิเวอร์แซล(Regimini Ecclesiae Universal)

และด้วยธรรมนูญฉบับนี้ ทำให้มีการปรับปรุงระบบ โรมัน คิวเรีย ให้มีอำนาจและมีอิทธิพลต่อประเทศมหาอำนาจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน หน่วยงานที่ เรียกว่า ตรีบูนัล(Tribunals) 3 หน่วย ซึ่งทั่วโลกรู้จักในนามว่า โรต้า(Rota) จะทำหน้าที่สอดส่องและหาข่าวทางด้านธุรกิจ และการเมือง ในประเทศต่าง ๆ โดยถูกตั้งขึ้นเรียกว่า  



โรตารี่(Rotary) ซึ่งจะรวบรวมนักการเมือง และนักธุรกิจ ชั้นนำในประเทศนั้น เพื่อที่สามารถทราบความเคลื่อนไหว ทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง ฯลฯ ในระดับสูงได้โดยง่าย 

หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับการหาข่าวเชิงลับทางเศรษฐกิจคือสำนัก งานปฏิบัติการด้านเศรษฐกิจ(The Prefecture Of Economic Affairs, POEA) ทำหน้าที่สืบข่าวลับทางด้านตลาดการเงินและการลงทุน สำนักงานเพื่อวิเคราะห์และร่วมลงทุนของรัฐวาติกัน

(The Holy See)" หน่วยงานที่สอดส่องปฏิบัติการต่อกรณีพฤติกรรมผู้กระด้างกระเดื่อง หรือต่อต้านการดำเนินงานของโรมันคาทอลิกนั้น ก็จะรับผิดชอบโดย สำนักงานเพื่อส่งเสริมความเป็นเอกภาพของชาวคริสต์

(The Secret for Promot ing Christian Unity) ทำงานประสานเป็นเครือข่ายครอบคลุมไปยังทุกประเทศทั่วโลก ทั้งเป็นหน่วยงานจัดหากำลังเสริมเคลื่อนไหวในประเทศต่าง ๆ ด้วยระบบการปกครองและการบริหารสูงสุดของ "อาณาจักรคาทอลิก" จะใช้ระบบสภาร่วมระหว่างคนธรรมดา(ผู้ที่ไม่ได้เป็นนักบวช) กับบาทหลวงที่เป็นกรรมาธิการ ตั้งขึ้นโดยสันตะปาปา การปกครอง และบริหารจะใช้ระบบพิเศษ คือระบบกฎหมายที่เด็ดขาดสร้างสังคมอารยะ(The Rule of Law for Civil Soceity) มีคณะปกครองสูงสุดนี้เรียกว่า OLYMPUS ซึ่งเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งสงครามของจักรวรรดิโรมัน
นโยบายของประเทศโรมันคาทอลิก

นโยบายของ "วาติกัน" จะถูกสั่งผ่านจาก "สันตะปาปา" ไปยังสภาที่บริหารงานทั้งสิ้นนั้น

"สภา" สำหรับวาติกันจะถูกใช้อยู่สองคำ คือ "สภาเพลนารี่(Plenary Council)กับ"อิคิวเมนิคัล (Ecumenical Council)" ความหมายของสภาทั้งสองชนิดนั้น หมายถึง "สภาที่มีอิทธิพลครอบโลก" สิ่งทีชี้ชัดถึงเป้าประสงค์ในเจตนารมย์นี้จะเห็นได้จากการประชุมที่สำคัญ 2 ครั้งก็คือการประชุมในวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ.1962 มีประกาศธรรมนูญพิเศษชื่อ สาส์นถึงมนุษยชาติ(Message to Humanity) และการประชุมในวันที่ 21 พฤศจิกายน 1964 ซึ่งได้ประกาศธรรมนูญประกาศิตว่าด้วยศาสน จักรชื่อว่า "กฤษฏีกาว่าด้วยการครองโลก(The Decree Ecumenism) และได้จัดตั้งองค์กรขึ้นทำลายล้างศาสนาทุกศาสนาวันที่ 17 พฤษภาคม 1964(2507) โดยสันตะปาปา จอนด์ ปอลที่ 2 คือ

"May 17 1964 Pope a special secret for Non-Christian Religions"

และนับแต่วันที่ประกาศตั้งองค์กรลับของวาติกันนี้เป็นต้นมา แผ่นดินทุกภูมิภาคในโลก ล้วนถูกทำลายโดยขบวนการจัดตั้งของวาติกันทั้งสิ้น เกิดสงครามศาสนาที่เราต้องกลับมาคิด เพราะพลเมืองที่ก่อเหตุของประเทศนั้น ๆ ล้วนยากจนแทบจะไม่มีกิน แต่เอาเงินจากที่ไหนมาซื้ออาวุธใหม่ ๆ ปืนใหญ่ จรวด ระเบิด ราคาเป็นร้อย ๆ ล้าน แต่เมื่อมองลึกลงไปปรากฏว่าทุกแห่งเหล่านั้นได้รับการสนับสนุน โดยนักบวชโรมันคาทอลิกทั้งสิ้น ไม่มียกเว้นล่าสุดก็ที่ประเทศอินโดนิเซีย แบ่งแยกเกาะติมอร์ เกาะอาเจ๊ะ เกาะโมลุกกะ และในประเทศศรีลังกา ซึ่งล้วนยากจนและเป็นคนป่า แต่ผู้นำก่อการร้ายแบ่งแยกประเทศกลับเป็นบาทหลวงคาทอลิก โดยไม่คำนึงถึงอธิปไตย กฎหมาย และความมั่นคงของประเทศนั้น ๆ โดยอ้างว่าเป็นเรื่องของศาสนา ที่มนุษย์ต้องการเสรีภาพในการนับถือ แต่ที่แฝงอยู่นั้นคือการล่าอาณานิคมของวาติกันโรมันคาทอลิกทั้งสิ้น โครงสร้างของโรมันคาทอลิก ที่ดำรงอยู่ตลอดมา และกำลังดำเนินการต่อไป มีฐานะเป็นองค์การทางการเมืองตนเองโดยเฉพาะเป็นศูนย์บัญชาการหรือ "เมืองหลวง" เช่นเดียวกับทุกประเทศในโลกเรียกว่า นครรัฐวาติกัน(VATICAN CITY STATE) จึงจัดเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรคาทอลิก ที่แทรกอยู่ในทุกประเทศและทุกภูมิภาคของโลก มีประชากรที่นับถือคาทอลิก ก็คือผู้ที่มี "สัญชาติวาติกัน" เป็น "ประชาชนวาติกันถาวร ขึ้นตรงกับประเทศวาติกัน ภายใต้กฎหมายของวาติกัน" กระจายอยู่โดยทั่วไป ลักษณะดังกล่าวนี้จึงเกิดลักษณะพิเศษเป็นภาพของแผนที่ใหม่ ซึ่งแทรกซ้อนอยู่บนแผนที่ประเทศต่าง ๆ บนพื้นผิวโลกโดยสิ้นเชิง คือ มีประเทศหนึ่งซึ่งเรียกได้ว่า "ประเทศคาทอลิก" มี เมืองหลวงคือนครวาติกันมีดินแดนในฐานะอาณานิคมกระจายไปทั่งโลก โดยมีสายใยการควบคุมบริหาร บังคับบัญชามีข้าราชการของวาติกันดูแลผลประโยชน์ ซึ่งอาณานิคมเหล่านั้นต้องส่งผลประโยชน์ที่เก็บได้นั้นส่งไปยังกรุงวาติกัน (ซึ่งประเทศไทยก็เป็นอาณานิคมเช่นนี้ ดูหลักฐานในภาคผนวกและต้องส่งส่วยให้กับวาติกันเช่นเดียวกัน)

วาติกัน ฉบับที่สอง: สภาแห่งการละทิ้งศาสนาของตนเอง
Written by Bro. Michael Dimond and Bro. Peter Dimond

This video shows: วีดิโอนี้แสดงถึง:

That the Vatican II documents contain blatant heresies against the Catholic Faith นั่นคือ เอกสารวาติกันฉบับที่สองมีเนื้อหาที่ประกาศชัดต่อศาสนานอกรีตที่ ต่อต้านหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อความเชื่อและศรัทธาของคาธอลิก

• that Vatican II represented a revolution against 2,000 years of Catholic teaching นั่นคือวาติกันฉบับที่สอง ถูกนำเสนอใหม่ที่เป็นกบฏต่อ คำสอนดั้งเดิมของคาธอลิกที่มีมากว่าสองพันปี (หลั

งจากการแทรกซึมของเยซูอิด เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย One World Order ให้ถึงเป้าหมายตามที่อดัม ไวฮอพท์ วางโครงสร้างไว้)

• that Vatican II gave birth to a new counterfeit Catholicism
นั่นคือ วาติกันฉบับที่สอง ให้การกำเนิดชาวคาธอลิกของปลอมขึ้นมาใหม่

• that other Cardinals were elected during the Conclaves of 1958 and 1963 before John XXIII and Paul VI, the men responsible for Vatican II นั่น คือ คาร์ดินัล ที่ถูกเลือกตั้งระหว่างการประชุมลับปี 1958 และ 1963 ก่อนหน้านั้นคือ โป๊ป จอห์นที่ 23 และ พอลที่ 6, เป็นผู้ที่ตอบสนองต่อนโยบายวาติกัน ฉบับที่สอง
Vatican II Council of Apostasy 1






Vatican II Council of Apostasy 2 @ Yahoo! Video

ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลและเนื้อหาหลักโดยคุณ Terran ครับ

2 ความคิดเห็น:

  1. ขอถามหน่อยค่ะคูณจิมมี่กับคุณ terran เป็นคนเดียวกันหรือป่าว คุณจิมมี่นับถือคริสต์นิกายอะไรค่ะ ขอทราบเบอร์โทรอยากคุยด้วยค่ะ

    ตอบลบ
  2. เป็นคนละคนกันครับ คุณ Terran เป็นเพื่อนของเราท่านนึงที่แวะเวียนมาคุยในบล๊อกนี้บ่อยๆ ครับ และก็มีบล๊อกเป็นของเค้าเอง สามารถเซิร์ชหาได้จาก google โดยใช้คีย์เวิร์ด Mr.Terran น่าจะเจอครับ

    ส่วนของผม คำแนะนำหรือติชมประการใด เมลล์มาคุยกันได้ที่ jimmy_s@jcshingle.com ครับ

    ตอบลบ