Dollar Carry Trade
ฝันร้ายภาคสองของคนอเมริกัน
Posted by บรรยง , วันจันทร์ ที่ 28 กันยายน 2552
หลังจากที่ชาวญี่ปุ่นต้องทนกล้ำกลืนกับธุรกรรม Yen Carry Trade มานานเกือบ 2 ทศวรรษ มาวันนี้การทำ Dollar Carry Trade กำลังจะตามมาหลอกหลอนคนอเมริกัน ที่ยังไม่ตื่นดีจากฝันร้ายทางเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา
"Dollar Carry Trade หมายถึง การกู้ยืมเงินดอลลาร์ราคาถูก แล้วนำไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า"
การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด ) จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยนโยบาย ลงมาจนใกล้ศูนย์เปอร์เซ็นต์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะต้องคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0-0.25%ไปอีกนานพอสมควรนั้น
นักลงทุนรายใหญ่ได้ใช้โอกาสนี้ กู้ยืมเงินดอลลาร์ด้วยต้นทุนต่ำ แล้วนำไปแลกเป็นเงินต่างประเทศเพื่อฝากกินดอกเบี้ยที่สูงกว่าในประเทศอื่นๆ เรียกได้ว่า ยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว กล่าวคือ หนึ่ง ได้รับดอกเบี้ยที่สูงกว่า สองคือ สกุลเงินที่ลงทุนมีโอกาสแข็งค่ามากขึ้นในอนาคต
นอกจากการลงทุนง่ายๆ แบบเสือนอนกินแล้ว ยังมีคนที่กู้เงินดอลลาร์ แล้วนำไปซื้อทองคำ น้ำมันหรือหุ้นในต่างประเทศ เพื่อหวังผลตอบแทนที่สูงกว่า และได้ประโยชน์ 2 ต่อเช่นเดียวกัน คือ กำไรจากราคาหุ้น และค่าเงินสกุลท้องถิ่นที่มีโอกาสขยับสูงขึ้น
ตอนนี้ คนอเมริกันเริ่มตั้งคำถามกันแล้วว่า การที่รัฐบาลของตนทุ่มเงินออกไปมากมาย เพื่อให้ไปกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น สุดท้ายแล้วเม็ดเงินที่ทุ่มออกไป มันไปกระตุ้นเศรษฐกิจของใครกันแน่ ดูเหมือนเงินมันจะไหลออกไปต่างประเทศมากกว่า
นอกจากนี้ การที่นักลงทุนรายใหญ่จะกู้เงินแล้วแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์ไปเป็นเงินสกุล อื่นนั้น ต้องมีการเทขายเงินดอลลาร์เพื่อไปซื้อเงินสกุลอื่น ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ถูกบิดเบือนจากกลไกปกติให้อ่อนค่าไปมากขึ้น ซ้ำร้ายเมื่อเงินไหลไปประเทศอื่น ทำให้เศรษฐกิจประเทศปลายทางดีขึ้น มันก็ย้อนกลับมาทำให้ค่าเงินดอลลาร์ด้อยลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศ ที่มีเศรษฐกิจเฟื่องฟูกว่า
มันเหมือนกับสิ่งที่เขาเรียกว่า “กับดักสภาพคล่อง” คือรัฐบาลทุ่มเงินดอลลาร์เข้าไปในระบบ แต่สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยกู้ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อธุรกิจหรือสินเชื่อบุคคล ธนาคารจึงนำไปปล่อยกู้ให้สถาบันการเงินขนาดยักษ์หรือสถาบันการเงินข้าม ชาติ ที่เมื่อได้เงินแล้ว ก็ขายดอลลาร์ออก นำไปลงทุนในประเทศอื่นๆ ปล่อยให้สหรัฐจมอยู่ในภาวะถดถอย ซึมเซาต่อไปเรื่อยๆ
และเมื่อเศรษฐกิจไม่ฟื้น ธนาคารกลางก็ต้องคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ หนุนให้เกิดวงจรอุบาทว์ ดิ้นไม่หลุด เหมือนกับประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ในวังวนนี้มาร่วม 20 ปีแล้ว
แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลสหรัฐจะชิงประกาศว่า เศรษฐกิจของตนฟื้นจากจุดต่ำสุดแล้ว นัยว่าเป็นการพูดให้ประชาชนมั่นใจ จะได้เริ่มจับจ่ายใช้สอยเงินกัน นั่นไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้นบ้างบางส่วน จะเป็นการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
นักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญหลายคนของสหรัฐ ต่างออกมาตอกย้ำว่า ยังไม่มีสัญญานชัดเจนว่า เศรษฐกิจอเมริกาฟื้นแล้ว สินเชื่อบุคคล(เครดิตการ์ด)ในเดือนกรกฎาคมลดลง 10.5% สินเชื่อธนาคารในไตรมาสที่ 2 ลดลง 342,000 ล้านดอลลาร์
ขณะที่อัตราว่างงานพุ่งสูงถึง 9.7% ในเดือนสิงหาคม นับว่าสูงสุดในรอบ 26 ปี และข่าวล่าสุดแจ้งว่า ยอดขายบ้านที่เพิ่มขึ้นติดต่อกันมา 4 เดือน ได้กลับมาติดลบ 2.7% อีกครั้งในเดือนสิงหาคม แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังเปราะบางมาก
มันจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมค่าเงินดอลลาร์จึงยังอ่อนตัวต่อเนื่อง และกลับเพิ่มอัตราเร่ง เมื่อเริ่มมีธุรกรรม Dollar Carry Trade มาถึงวันนี้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าไปแล้ว 14% นับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยดูจาก Dollar index ที่เทียบกับตะกร้าเงินสกุลหลักๆ 7 สกุล
เรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ว่าประธานธนาคารกลางสหรัฐ นายเบน เบอร์นันเก้จะไม่ทราบ แต่ท่านคงไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ เพราะถ้าไม่กระตุ้นตลาดด้วยวิธีตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะยิ่งถดถอยไปกว่านี้ การว่างงานอาจจะพุ่งถึง 20% ก็ได้
ตอนนี้ เริ่มมีข่าวออกมาในทำนองที่ว่า เงินกองทุนของสถาบันประกันเงินฝากของสหรัฐ ( FDIC ) กำลังร่อยหรอ หลังจากที่ชดใช้เงินให้ผู้ฝากเงินจากการที่มีธนาคารล้มทุกสัปดาห์ โดยในปีนี้ มีธนาคารล้มแล้ว 94 แห่ง หรือประมาณ 10 แห่งต่อเดือน โดย FDIC ออกมายอมรับว่ามีเงินกองทุนเหลือเพียง 4.2 หมื่นล้านเหรียญ ขณะที่มีธนาคารอีก 412 แห่ง ที่อยู่ในข่ายมีปัญหา ( ส่วนใหญ่เป็นธนาคารขนาดเล็ก แต่จะส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่หรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป )
ดูเหมือนสหรัฐยังต้องมีเรื่องยุ่งๆให้สะสางอีกมาก เพราะฉนั้นถ้ามีใครมาพูดว่า เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นแล้ว ก็ขออย่าได้วางใจ ยิ่งมีการทำธุรกรรม Dollar Carry Trade แล้วด้วย มันจะยิ่งกดไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐโงหัวขึ้นมาได้ง่ายๆ
หากว่าเป้าประสงค์ของการลงทุนคือ กำไรสูงสุด ตอนนี้นักลงทุนสถาบันรวมถึงกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ต่างๆที่ส่วนใหญ่มีสัญชาติ อเมริกัน ต่างกำลังมุ่งทำกำไรสูงสุด โดยม่สนใจว่า นั่นกำลังทำร้ายเศรษฐกิจประเทศตนเอง
สะท้อนสัจธรรมที่ว่า “เงิน” มันไม่รู้จักคำว่า “คุณธรรม” หรอกครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น