วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Phase II.......Part 1 of 5 ( ทำลายกรอบความคิด )

ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่าน อาจจะยังสงสัยครับ ว่าสิ่งที่ผมเขียนมาทั้งหมดว่าเรื่องไหนจริง เรื่องไหนเป็นเพียงทฤษฏีสมรู้ร่วมคิด ซึ่ง "จะเชื่อเลยทั้งหมดก็ไม่ได้ แต่จะไม่เชื่อก็ไม่ได้"  เพราะมันก็เห็นๆ กันอยู่ แล้วก็คิดกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น.......ซึ่งไม่แปลกครับ

ผมจะบอกให้ครับว่าทำไม สมองและความนึกคิดของเราทำงานอย่างไร และอะไรซึ่งทำให้เราคิดอย่างนั้น เพราะทุกสิ่งที่คุณรับรู้จากข่าวสารและสถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันก็เป็นอย่างนั้น แล้วกำลังมุ่งไปในทิศทางนั้นจริงๆ แต่ในอีกห้วงความคิดคุณก็อาจจะคิดว่า มันไม่น่าจะเป็นไปได้ถึงขนาดนั้น!!! 

นั่นก็เพราะสมองของคุณถูก "โปรแกรม" มาให้เชื่อในสิ่งที่เห็นแค่นั้นไงครับ แต่เรียกให้ฟังดูดีว่า "เรียนรู้" มา "ให้เชื่อ" ในสิ่งที่เค้า "โกหก" ว่าเป็นความจริงไงครับ และคนส่วนใหญ่ก็คิดว่านั่นคือความจริงของโลกใบนี้ทั้งหมด เช่นเค้าบอกเราว่า บิล เกต เป็นคนที่รวยที่สุดในโลก ใครบอกครับ นิตยสาร์น "Forbes" ทุกคนเชื่อครับ แต่ไม่เคยคิดว่าทำไมเราต้องไปเชื่อ "Forbes" ล่ะ แล้ววันนี้มีผมมาบอกคุณว่าไม่ใชบิล เกต แต่เป็น Sir Everlyn Rothchild หรือเซอร์เอเวอรินน์ ร๊อทไชล์ ที่เป็นมือการเงินของพระราชินีอลิซเบ๊ธที่ 2 ของอังกฤษ และเป็นเจ้าของ Bank of England และเครือข่ายธนาคารกลางของโลก โดยเฉพาะธนาคารสวิตซ์ รวมทั้ง FED ของสหรัฐ........คุณจะรู้สึกยังไงครับ

ผมเชื่อว่าหลายๆ คนจะปฏิเสธทันทีว่า "ไม่ไช่"  ต้องเป็นบิล เกต สิ เพราะ Forbes บอกอย่างนั้น นั่นแหละครับคือปัญหา เพราะถ้าลองค้นดูข้อมูลซักหน่อยคุณจะพบความจริงว่า Fobes เป็นเพียงแม๊กกาซีนระดับโลกฉบับหนึ่ง ซึ่งอยู่ในเครือข่ายธุรกิจสิ่งพิมพ์ ที่รวมทั้งหนังสือพิมพ์  The Sun, Wall Street Journal และอีกสารพัดในเครือ ซึ่งมีเจ้าของ "คนเดียวกัน" 

มีคติพจน์ของฝรั่งอยู่บทนึงที่ต้องทำความเข้าใจคือ "ถ้าคุณสามารถโกหกเรื่องใดเรื่องหนึ่งและกรอกหูคนได้ทุกวันอย่างต่อเนื่องและยาวนานพอ คนเหล่านั้นจะคิดว่าเป็นเรื่องจริง" และเชื่อไม๊ครับว่าโลกใบนี้ถูกคนกลุ่มหนึ่ง "โกหก"  มาตลอดนับ 100 ปี และนี่ก็คือทฤษฏีของการโฆษณาชวนเชื่อ ที่ใช้กันในวงการสื่อแทบทุกชนิด ก็คือการยิงข้อความถี่ๆ ซ้ำๆๆๆๆๆ จนกลายเป็นความเชื่อและเป็นความจริงในชีวิตของคนๆนั้นไปในที่สุด และที่แย่ไปกว่านั้นคือความเชื่อ "ที่ผิดๆ" เหล่านั้นถูกถ่ายทอดมายังรุ่นลูก รุ่นหลานสืบมา

ซึ่งผมก็เป็นเหมือนกับที่คุณเป็นครับ ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกัน แต่อาจจะมีบางสิ่งที่ผมแตกต่างออกไปบ้างคือ จากประสบการณ์ในการทำธุรกิจทำให้เชื่อและวางใจอะไรง่ายๆไม่ได้ครับ  โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ๆ ที่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่จะพลิกชีวิตเราไปมาได้ในทันที อันนี้ไม่ได้เลยครับ ต้องไม่ใช่แค่รู้หรือเข้าใจ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วโอกาส "พลาด" มีสูงมากกกก และในบางช่วงบางวัยของชีวิตเราคงจะ "เจ๊งซ้ำเจ๊งซาก" ไปไม่ได้ตลอด ก็คือบทเรียนที่ผ่านมามันสอนเราครับ

โดยเฉพาะเรื่องทั้งหมดที่คุณกำลังอ่านจากบล๊อกนี้ ซึ่งส่วนใหญ่มันคือประวัติศาสตร์ครับ ซึ่งก็คือเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ในอดีต จากหลายแหล่งที่มา ที่จะเป็นตัวกำหนด "อนาคต" ของโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่เคยสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์หรือไม่มีพื้นเลย คุณ "อาจจะ" ไม่เข้าใจหรือมองไม่เห็นในสิ่งที่ผมพยายามสื่อครับ ไม่ใช่ว่าผมเก่งกว่าหรือรู้มากกว่า แต่ก็เพราะผมทุ่มเทเวลาที่จะศึกษามัน ถ้าคุณมีแต่องค์ความรู้ไหม่ๆ ทันสมัยอยู่เต็มหัว โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจและเศรษฐศาสตร์ แต่คุณไม่เคยรู้ว่า "ครอบครัวร๊อธไชล์" และกลุ่มผู้ทรงอิทธิพลในระดับโลกเหล่านี้ เป็นใคร???  มีที่มาและมีบทบาทต่อระบบเศรษกิจ การเมือง สังคม โดยเฉพาะการเงินของโลกใบนี้อย่างไร เชื่อเถอะครับว่าองค์ความรู้เหล่านั้นที่ไปร่ำเรียน" แทบจะใช้งานไม่ได้เลยครับในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะในช่วงเวลาของวิกฤติการณ์ครั้งสำคัญๆและเราจะกลายเป็น "เหยื่อ" ครับ

ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ ในวิกฤติการณ์เศรษฐกิจครั้งร้ายแรงของไทย เมื่อปี 2540 คุณว่า "คณะ" บุคคลนักเศรษฐกิจและนักเศรษฐศาสตร์ที่บริหารประเทศเรา ซึ่งยังไม่นับรวมนักวิชาการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ยังไม่รวมคณะที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจทั้งที่เป็นคนไทย และจ้างพิเศษมาจากต่างประเทศ ซึ่งใช้งบประมาณแผ่นดินไปเป็นร้อยๆ ล้านบาทต่อปี ท่านทั้งหลายเหล่านั้น "มีความสามารถ" ไม๊ครับ คำถามคือทำไมเราจึงล้มไม่เป็นท่าขนาดนั้น ยังไม่พอครับ ชักชวนเพื่อฝูงล้มตามกันไปทั่วเอเซีย นั่นก็คือ ทุกคนที่อยู่ในทีมที่แก้สถานการณ์นะเวลานั้น รู้ในสิ่งเดียวกัน เรียนมาในระบบเดียวกัน หรือใช้ทฤษฏีเดียวกันนั่นเองครับ แล้วทฤษฏีนั้นใครถ่ายทอดมา ลองคิดกลับไปที่เรื่องบิล เกตและฟอร์บที่ผมยกตัวอย่างไว้ คงพอจะนึกออกแล้วนะครับ

เพราะกลุ่มคนที่เค้าจะเข้ามาล้มระบบเรา เค้ารู้หมดแล้วว่าเรารู้อะไร เพราะเค้าเป็นคนที่บอกให้เราเชื่ออย่างนั้นอย่างนี้ไงครับ แต่เวลาที่เค้าโจมตีเราเค้าก็ใช้อีกทฤษฏีหนึ่งที่เราไม่เคยรู้ หรือที่เราคิดว่า "เป็นไปไม่ได้ และไม่มีอยู่จริง" เพราะเรา...ติดกับดัก...ซึ่งก็คือกรอบความคิดที่อยู่ในสมองเราเองไงครับ  ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่าการไม่รู้ซะอีก เพราะถ้าเราคิดว่าเราไม่รู้ เราอาจจะไฝ่หรือขวนขวายที่จะรู้ แต่ถ้าเราบอกตัวเราเองว่าเรารู้หมดแล้ว เราสุดยอดแล้ว นั่นแหละครับ "คุณเสร็จพวกเค้าแล้ว"

เราลองมาดูตัวอย่างกรอบความคิดเหล่านี้แล้วลองทำลายมันลงไปจากสมองของคุณครับ แล้วลองโปรแกรมสิ่งเหล่านี้เข้าไปใหม่ แล้วคุณจะเชื่อมโยงเรื่องราวอีกหลายๆ อย่างในโลกใบนี้ได้อย่างลงตัวครับ ...

1.กลุ่มอิลลูมินาติไม่มีอยู่จริง เป็นเรื่องแต่ง มีอยู่แต่ในหนังของแดน บราวน์เท่านั้น   เพราะฉะนั้น "ต้อง" ไม่เป็นเรื่องจริง

ทั้งที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้อย่างมากมายในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับคนกลุ่มนี้ และหาอ่านได้ตามห้องสมุดทั่วไปในประเทศตะวันตก มีตัวตนอยู่จริงในทุกช่วงเวลาที่สำคัญของประวัติศาสตร์ แต่เอกสารส่วนใหญ่จะอยู่ในภาษาอังกฤษ และอยู่ในซีกโลกตะวันตก ถ้าวันนี้ไปถามฝรั่งว่ารู้จัก "เสรีไทย" ไม๊ ก็คงจะได้คำตอบว่าไม่รู้ และคงไม่มีเพราะไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่บังเอิญว่าเสรีไทยไม่เคยไปยึดครองประเทศไหนแล้วจะเปลี่ยนแปลงโลก ก็คงไม่จำเป็นที่เค้าจะต้องมารู้จัก แต่กับอิลลูมินาติ มันต่างกัน ในงานเขียนที่ผ่านมาผมจะโฟกัสไปในสิ่งที่เค้าจะผลักดันหรือทำมากกว่ารู้ว่าเค้าชื่ออะไรครับ

2. สหรัฐอเมริกา ล้มไม่ได้หรอก เพราะมีทองเยอะมากตั้ง 8,000 ตันแน่ะ เพราะถ้าล้มแล้วก็จะล้มกันไปทั่วโลก เพราะฉะนั้นล้มไม่ได้หรอก เดี๋ยวก็ฟื้น เหมือนที่ผ่านมาแหละ

อันนี้คนที่คิดเตรียมล้มนำไปก่อนอเมริกาได้เลยครับ หรือเมื่อเวลามาถึงแล้วคุณหมดตัวแน่นอน

3.สมาคมลับต้องเป็นสมาคมลับสิ จะนำเรื่องราวต่างๆ ออกมาเปิดเผยได้ยังไง เพราะฉะนั้นต้องไม่มีจริง

เมื่อ 100 ปีที่แล้วเค้าเป็นสมาคมลับครับ และต้องทำอะไรหลบซ่อนๆ ความเคลื่อนไหวเป็นไปในลักษณะใต้ดินทั้งหมด เพราะยังไม่มีอำนาจพอ โลกโดยรวมอยู่ในระบบกษัตริย์ อำนาจสิทธิ์ขาดยังอยู่ในมือกษัตริย์ของประเทศต่างๆ แต่วันนี้เค้ายึดไปหมดแล้วครับ ล้มชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทั้งยุโรป อังกฤษ สหรัฐ เอเซีย จีนและอีกกว่า 100 ประเทศทั่วโลกที่แผ่อิทธิพลโดยการไปตั้งฐานที่มั่นทางทหารไว้ (เราก็เป็นหนึ่งในนั้น) แล้วกำลังจะถึงเวลา "เชคบิล" ส่วนที่เหลือแล้วครับ จะปิด จะเปิด จะลับไม่ลับ คงไม่ได้มีความหมายอะไรแล้ว เค้าก็พูดอยู่ทุกวันประกาศปาวๆว่าข้านี้แหละคือ วาระโลกใหม่ หรือ New World Order หรือ New World Agenda พูดในทุกเวทีผู้นำในระดับโลก  การประชุมก็เปิดเผยแล้ว(CFR, Bilderberg) ก็คือเค้าไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ หรือทำอะไรลับๆ อย่างในอดีต นอกจากการลอบสังหาร การก่อสงคราม  และต้องเข้าใจอย่างนึงครับว่า

" ทุกวันนี้ที่เราเกิดมา เราอยู่ในโลกของพวกเค้า เค้าไม่ได้อยู่ในโลกของเรา "

แต่เราเองกลับไปคิดว่าเค้าเป็นสมาคมลับ ต้องเป็นความลับสิ แต่พอเค้าเปิดเผยตัวแล้ว ทำเรื่องสารพัดในระดับโลก แต่เรากลับไปคิดว่าพวกเค้าไม่มีอยู่จริง และเป็นเพียง "ทฤษฏีสมรู้ร่วมคิด"

4.กระดาษที่อยู่ในกระเป๋าเราคือเงินจริงๆ เพราะเราเรียกมันว่าเงิน และแบงค์ดอลล่าสหรัฐก็ต้องเป็นเงินด้วย

อันนี้ไม่นานคงได้คำตอบครับ ไม่นานเลยจริงๆ

5. นักวิชาการบ้านเราเรียกพวกเค้าว่า "World Fund" หรือหนักกว่านั้นคือเหมารวมไปเลยว่าเป็น "Hedge Fund" ซึ่งพวกเค้านำเสนอจอร์จ โซรอสให้ออกหน้าแทนคนเดียว และก็ไม่รู้ว่าพวกเค้าเป็นใคร มีรากฐานมาจากไหนและมีความเป็นมาอย่างไร เจ้า "World Fund" แต่พอมารู้อีกที เราและอีกหลายๆประเทศล้มระเนระนาดแล้ว โดนเข้ามาตีซ้ำอีกในตอนหลังทั้งจากภายนอกและภายใน โดนเจ้า World Fund อีกแล้ว.....ฮึ่ม แล้วนักวิชาการเหล่านั้นก็เขียนหนังสือเขียนทฤษฏีออกมาขายมากมายเพื่อจะอธิบาย เป็นครูบาอาจารย์สอนเรื่อง "World Fund" ***ถ้าเรายังไม่รู้เลยครับว่าเค้าเป็นใคร แล้วเราจะไปรับมือกับเค้าได้ยังไง***

6.นักวิชาการอีกบางส่วนไปโทษตลาดหุ้นเป็นต้นกำเนิดของปัญหาทั้งมวล ซึ่งก็ถูกบางส่วนครับ แต่คนที่ออกแบบและวางโครงสร้างตลาดหุ้นนี่สิที่เป็นตัวปัญหาจริงๆ เพราะเค้ารู้ระบบทุกอย่างเพราะเค้าใช้มาก่อนเราเกือบ 100 ปี แล้วด้วยโครงสร้างเดียวกันทั่วโลก พวกเค้าก็เข้าไปทุบตลาดโน้นที ตลาดนี้ที ขนเงินเข้า ขนเงินออก ทำกำไรแล้วก็กลับบ้าน เรากลับมาโทษกันว่านั่นเป็นเพราะการมีตลาดหุ้น "ผิด"

7.ทุกอย่างเป็นไปตาม "ระบบการค้าเสรี" "กลไกตลาด" "ดีมานด์และซัพพลาย" และเป็น "เป็นวัฐจักร"

ประเทศไหนที่ปล่อยให้ระบบประเทศตัวเองให้เป็นไปตามนี้ รับรองครับว่า โดนเข้าไป  "ล้มและตกเป็นทาส" ทางเศรษฐกิจแทบทุกประเทศครับ

8.เศรษฐกิจมีขึ้นมีลงเป็นวัฐจักร

"วัฐจักรของเศรษฐกิจ" มีขึ้นก็ย่อมมีลง แต่คุณรู้หรือไม่ครับว่า "วิกฤติการณ์เศรษฐกิจ" ในรอบ 100 ปีผ่านมาของทุกประเทศทั่วโลก บางส่วนเกิดจากการคอรัปชั่น แต่ส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์  ใน The Great Depression นั่นก็คือน้ำมือมนุษย์ทำทั้งหมดครับ โดยวิธีการควบคุมปริมาณเงินในระบบของ FED ในสมัยนั้น "และเมื่อเป็นวิกฤติของคุณกลุ่มหนึ่ง ก็จะเป็นโอกาสของคนอีกกลุ่มหนึ่งเสมอ" การทุบตลาดหุ้นหลักๆครั้งใหญ่หลายๆ ครั้ง จะมีคนที่ได้ประโยชน์เสมอ ไม่ใช่ว่าเค้ารู้ทันครับ แต่เค้ารู้ "ก่อน" เพราะทำมากับมือเลยครับ

9.สงครามและความเปลี่ยนแปลงระบอบที่ผ่านมาเกือบทั้งหมดของมนุษยชาติไม่ได้เกิดขึ้นจากความขัดแย้ง แต่เกือบทั้งหมดเป็นการ "เสี้ยม" เพื่อให้เกิด เพื่อตักตวงผลประโยชน์จากสงครามนั้นๆ ตั้งแต่ WW1, WW2, สงครามเวียดนาม, สงครามเกาหลี, การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบในประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งการล้มเจ้า ล้มกษัตริย์ในประเทศต่างๆ

ทั้งหมดก็เป็นตัวอย่างบางส่วนครับ เพื่อให้เห็นว่าทำไมและอะไรเป็นตัวกำหนดความคิดของเรา ทำไมเรามองบางอย่างไม่เห็นทั้งที่มันอยู่ตรงหน้า ทั้งหมดเป็นมุมองส่วนตัว ซึ่งอาจจะให้ไอเดียหรือจุดประกายความคิดอะไรได้บ้าง ก็ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ครับ

ลองมาดูประวัติศาสตร์สำคัญกันซักหน่อยครับ คือเรื่อง FED, IRS กับการเก็บภาษี CIA และทิศทางของอเมริกาในอนาคต โดยเฉพาะเรื่อง IRS ผมค้นพบความลับอย่างหนึ่งของรัฐบาลสหรัฐครับ ในช่วงก่อนจะกลับมาอยู่ประเทศไทย คือ 

เราไม่ต้องไฟล์ 1040 หรือจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ลองศึกษาเรื่องนี้ให้ดีสิครับ เพราะไม่กฏหมายใดๆรองรับ หรือระบุไว้เลยซักข้อเดียวในกฏหมายภาษีหรือแม้แต่รัฐธรรมนูญสหรัฐ แล้วคนที่จ่ายทั้งหมดก็เพราะความไม่รู้ และคิดว่าเป็นกฏหมาย กลัว IRS มาจับเข้าคุก ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทั้งหมดในสหรัฐ เป็น "Valuntary Base" หรือภาคสมัครใจทั้งสิ้น ก็คือจะไม่จ่ายก็ได้ เค้าไม่สามารถบังคับเราได้ครับ โดยมีลายลักษณ์อักษรเป็นคำสั่งของ Supreme Court หรือ ศาลฏีกาของสหรัฐออกมาในเรื่องนี้ว่าเป็นการผิดรัฐธรรมนูญสหรัฐ ซึ่งเจ้าหน้าที่ IRS ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ในข้อกฏหมายเหล่านี้ และทำตามหน้าที่เท่านั้น

และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเค้าถึงต้องเอาเรื่องเสียภาษีเงินได้ หรือ Tax Return นี้ไปผูกติดกับระบบเครดิต การเงิน การธนาคารไงครับ เพื่อเป็นการบังคับทางอ้อม แต่ก็ไม่มีกฏหมายรองรับอยู่ดี ถ้ายังจำกันได้ เรื่องนี้ที่โด่งดังที่สุดก็คือกรณีที่การเข้ารัฐตำแหน่งของนายทิม ไกเนอร์ รัฐมนตรีคลังคนปัจจุบันในรัฐบาลโอบาม่า ออกมาเปิดเผยว่าตนเองก็ไม่เคยจ่ายภาษีเงินได้ จนมาถึงการเข้ารับตำแหน่งดังกล่าว

แล้วรู้ไม๊ครับว่าเงินภาษีที่เค้าเก็บในส่วนนี้ถูกนำไปที่ไหน คำตอบคือ...จ่ายเป็น "ดอกเบี้ย" ให้ FED โดยรัฐบาลสหรัฐที่กู้ยืมเงินมาตลอดตั้งแต่ 1913 ไงครับ แล้วใครเป็นคนตั้ง IRS รู้ไม๊ครับ ก็คือ FED  โดยสภาคองเกรสผ่านทางร่างกฏหมาย Federal Reserve Act : 1913 นั่นเอง รู้แล้วก็เหยียบไว้นะครับ และที่ผม "ต้อง" รู้เรื่องนี้ก็เพราะอีกอาชีพหนึ่งของผมก็คือรับจัดทำภาษีหรือไฟล์เจ้าแบบฟอร์ม 1040 นี่เอง


และในหนังสารคดีเรื่องนี้ "America : From Freedom to Fascism" โดยนาย Arron Russo ซึ่งเสียชีวิตแล้วและเป็นผู้สร้างหนังฮอลลีวูดอีกหลายๆเรื่องที่เคยได้รับรางวัลใหญ่มาแล้ว ที่สำคัญยังเป็นคนวงในของกลุ่มอิลลูมินาติ ได้ฝากผลงานชิ้นสุดท้ายไว้และได้เปิดเผยความจริงเหล่านี้ไว้ให้คนรุ่นได้รับรู้.......อย่าพลาดครับ!!!




ยังมีอีกมากครับที่เรามองเห็นมันในแบบที่เค้าอยากให้เราเห็น แต่เรากลับไม่เคยมองเห็นในสิ่งที่มันเป็นครับ.......

The Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook

3 ความคิดเห็น:

  1. ท่านแม่ทัพ....เป็นข้อความที่ยอดเยี่ยมมากครับ....ขอนับถือ..นับถือ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ14 ธันวาคม 2553 เวลา 14:51

    ผมทํางานที่อเมริกา ตอนเช็คเงินเดือนออกแต่ละเดือนก็เห็นมีระบุอยู่ว่าโดนหักภาษีแบบไหน เท่าไรบ้าง แต่พอครบกําหนดแต่ละปีก็สามารถไปไฟล์คืนได้นี่

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ14 ธันวาคม 2553 เวลา 19:44

    มาถึงเวลานี้ คงหมดคำถามแล้วว่า จะเกิดหรือไม่
    เหลือแต่คำถามที่ว่า จะเกิดเมื่อไหร่
    และ เรา จะเตรียมรับมือ อย่างไร
    ติดตามอ่านตลอด
    ขอบคุณมากๆค่ะ
    3am

    ตอบลบ