วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Phase II.......Part 7 of ( "การทำลายล้าง" และ "ความรอด" 3 )

Disclaimer : สิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่ เป็น "ความเชื่อส่วนบุคคล" ครับ ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ความเชื่อ เศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ การเมือง และอริยธรรมของมนุษย์ ในการการศึกษาค้นคว้าของผู้เขียน ความคิดต่าง เห็นต่าง ขอให้เป็นดุลยพินิจของท่านผู้อ่านครับ.......

เช้าวันหนึ่งเมื่อสัปดาห์ก่อนผมมีโอกาสได้ดูทีวี มีรายการนึงน่าสนใจครับ มีพิธีกรชายท่านหนึ่งพาไปเยี่ยมเยียนชีวิตความเป็นอยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียงของ ศิลปินตลกอาวุโสท่านนึงครับคือ "ป๋าเทพ โพธ์งาม" คือป๋าเทพแกไปซื้อที่ไว้ 10 ไร่ครับที่จังหวัดซักแห่ง เพราะผมไม่ได้ดูแต่แรก แล้วแกก็ใช้ Concept หรือ "หลักปรัชญา" เศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงสร้างสรรค์ทุกอย่างขึ้นครับ ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ ปลูกข้าว ปลูกผัก ผลไม้ สีข้าวและอีกสารพัด น่าจะครบวงจรหมด คือแกแทบจะไม่ต้องหาหรือต้องใช้ "เงิน" เลยครับ ในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เพราะทุกอย่างมันเป็นระบบหมุนเวียนกันเหมือน "ระบบนิเวศน์" ในตัวมันเอง

ที่น่าทึ่งคือ ถ้าเราถอดหรือมองทะลุความเป็น "ตลก" ของแกเข้าไปแล้วเราฟังในสิ่งที่แกคิดหรือพูดออกมาแล้ว เหมือนเรากำลังฟังปราชญ์ท่านนึงทีเดียวครับ เพราะด้วยวัยและประสบการณ์และหลักคิดของแก อาจจะเรียกได้ว่า "ตกผลึก" แล้วล่ะครับ แม้อาจจะเป็นการพูดไป หัวเราะไป เล่นไปตามสไตล์ของแก แต่ถ้าเอาคำพูดและความคิดของแกมาวิเคราะห์ล่ะก็ ต้อง "อึ้ง" เลยล่ะครับ

เพราะฉะนั้นหลักการเศรษฐกิจพอเพียง ในความคิดของผมก็คือ การพึ่งพาและยืนอยู่บนขาตัวเราเองให้มากที่สุดในทุกระดับ " ถ้าคุณใช้มากกว่าที่หาได้คุณก็หมด ถ้าคุณหาได้มากกว่าที่คุณใช้คุณก็เหลือเก็บ " แต่ถ้าคุณสามารถใช้โดยที่คุณไม่ต้องหา คุณก็จะไม่มีวันหมดและอาจจะมีเหลืออีกต่างหาก หรือจะเรียกอย่างสั้นๆว่า "ยั่งยืน" ผมว่าน่าจะเป็นอะไรที่สุดยอดแล้วครับ ก็คืออย่างที่บอกครับว่ามันครบวงจร ไม่ได้อยู่ที่ขนาด ว่าใหญ่หรือเล็ก ต้องมากหรือน้อย มันอยู่ที่ "ความพอดีและพอใจ" มากกว่าครับ

ทีนี้เลยจะเกิดคำถามตามมามากมายครับ แล้วหลายท่านที่เป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิดหรือใช้ชีวิตอยู่ในเมือง อย่างนี้จะต้องขายบ้านเข้าไปทำไรทำนาเหมือนกันหมดเลยหรือเปล่า คำตอบคือ "ใช่และไม่ใช่" ก็คือ...ใช่ในหลักการแต่ไม่ใช่ในวิธีการครับ ก็คือทำยังก็ได้ให้เราลดการพึ่งพาหรือการซื้อหาจากภายนอกให้ได้มากที่สุด การลดการพึ่งพาเทคโนโลยี การสื่อสาร คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และทุกๆอย่างที่เกินความจำเป็นลง โดยต้องคิดครับว่าที่เราคิดว่ามันจำเป็นและขาดไม่ได้ก็เพราะ เราถูกสอนถูกฝึกหรือถูกปลูกฝังมาอย่างนั้นครับ ถ้าย้อนกลับไปดูรุ่นปู่ย่าตายายท่านก็อยู่มาได้โดยไม่มีสิ่งเหล่านี้ แต่ทั้งหมดก็จะกลับไปอยู่บนความ "พอดีและพอใจ" และแต่ละบุคคลครับ

ยิ่งทำได้มากเท่าไหร่ "ความยั่งยืน" ก็จะมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัวครับ และอีกอย่างที่คุณจะได้เป็นของแถมทีมีค่ามากๆ ก็คือ สุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีขึ้น ที่ผมกล้าบอกคุณอย่างนี้เพราะผมกำลังทำอยู่ครับแล้วยังพัฒนามันต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องทิ้งทุกอย่างที่เรามีหรือความเป็นตัวเราทั้งหมด ค่อยๆปรับค่อยๆเปลี่ยนไปครับ "ปรับขนาด ลดสเกล" มันลงมาให้เหมาะกับตัวเรา แต่ยังไงก็ต้องดูทิศทางลมพายุที่กำลังตั้งเค้าแล้ว มันจะหนักมากครับครั้งนี้ ใครที่ทำได้ก่อนหรือทำได้มากก็โดนน้อย แต่ถ้าทำได้น้อยก็ต้องโดนมากเป็นธรรมดาครับ

หรืออย่างน้อยคุณก็ต้องรู้ว่าเมื่อวิกฤติการณ์เกิดขึ้นแล้วคุณจะไปไหน ต้องไปหาใครอย่างไร ด้วยวิธีไหน คุณจะทำหรือไม่ทำอะไร และเมื่อไหร่ ถ้าคุณทำแล้วคุณจะไม่ Panic หรือตื่นตระหนกครับไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะว่า หนึ่งคุณรู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้วจากการบอกเล่าของผม สองคุณเตรียมความพร้อมแล้วในระดับหนึ่ง และสามคุณกำลังรอดูสิ่งต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อที่จะทำการ "แปลงวิกฤติให้เป็นโอกาส"...สำหรับผู้ที่มองเห็นครับ

เพราะฉะนั้น Trend หรือทิศทางหรือแนวโน้มของเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ สังคม ความเป็นอยู่ การทำมาหากิน การประกอบอาชีพ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ แบบ "ฉับพลันทันที" ครับ เพราะว่าจะมีคนที่รู้และตามทันสิ่งที่จะเกิดขึ้นน้อยมากๆ เพราะ "ไม่กล้าคิด" ยิ่งถ้าติดกรอบความคิดหรือกรอบการศึกษาในโลกปัจจุบันนี้อยู่ด้วยแล้ว จะยิ่งลำบากครับ ทุกอย่างจะกลับไปสู่พื้นฐานหรือ Back To Basic หรือกลับสู่สามัญคืออะไรที่มีความจำเป็นในลำดับต้นๆ ในการดำรงชีพของมนุษย์ นั่นแหละครับจะเป็นกระแสที่จะมา

อย่างที่ผมเคยทำนายไว้ครับว่า "หัวจะกลายเป็นหาง หางจะกลายเป็นหัว, คนยากจนจะกลับมั่งมีและคนมั่งมีจะกลายเป็นคนยากจน" .....พอจะนึกภาพออกแล้วนะครับ แล้วเรามารอดูกันครับว่าจะเป็นจริงแค่ไหน

เอาล่ะครับที่ผ่านมาทั้งหมดก็เป็นเรื่องของการดิ้นรนเอาตัวรอดในด้านร่างกายหรือ Physical เพื่อรอรับเหตุการณ์ความพลิกผันทางเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงของโลก ที่คิดว่าจะแผลงฤทธิ์ในครึ่งหลังของปี 2011 หรือไม่เกินกลางปี 2012 แต่ทั้งหมดจะไม่ได้เกิดขึ้นแบบโครมเดียวครับ จะมีสัญญานต่างๆ ออกมาเป็นระลอกๆ จากทางสหรัฐ ยุโรป อังกฤษ จีน รัสเซีย รวมทั้งประเทศเศรษฐกิจอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ต่างๆ ที่คุณต้องทำคืออ่านสัญญานแล้วรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ต้องเตรียมพร้อมและติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวพร้อมกันไปครับ แล้วดู Sequence หรือลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผมเขียนไว้ในโพสต์ที่แล้ว หรือคุณจะพัฒนามันขึ้นมาเองก็แล้วแต่ การล้มตัวในลักษณะโดมิโน่จะไล่ไปเรื่อยๆและน่าจะใกล้เคียงตามนั้นครับ เพียงแต่ว่าอะไรที่จะเป็นตัวจุดชนวนหรือ Spark ขึ้นมาก่อน แต่ผลหรือโดมิโน่ตัวต่อๆไปที่จะล้มลง ก็จะออกมาไม่ต่างกันในที่สุด

ในสหรัฐตอนนี้กลุ่ม Patriot หรือ Truth Movement หรือคนอเมริกันจำนวนไม่มากแต่ก็ไม่น้อยครับ ที่ตื่นแล้ว ก็เตรียมความพร้อมกันเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะนักลงทุน "วงใน" หรือนกรู้หรือพวกอินไซเดอร์ต่างๆ เค้าทำอย่างไรกันบ้างไว้จะโพสต์วีดีโอไว้ให้ครับ เห็นแล้วรู้สึกเลยว่า ต้องขนาดนั้นเลยหรือ ถ้าคุณยังอยู่ในสหรัฐหรือเลือกที่อยู่ที่นั่นก็ควรที่จะทำขนาดนั้นครับ แต่สำหรับในบ้านเราก็คงต้องดูผลกระทบกันเป็นรายตัว รายภาคไป แต่อย่างหนึ่งที่ผมกังวลคือ การพึ่งพาฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะภาคการเมือง คงจะทำอะไรไม่ได้เลยครับ เพราะการแข่งกีฬาสี ระหว่าง สีเหลือง สีแดง สีน้ำเงิน และอีกสารพัดสี คงยังคุกรุ่นอย่างต่อเนื่อง แล้วก็ลากเอาผู้คนอีกจำนวนมากเข้าไปอยู่ในวัฏจักรเหล่านั้นด้วย และบางส่วนก็กลายเป็นโลกทั้งใบของพวกเค้าไปแล้ว

ความสามัคคีและความเป็นเป็นเอกภาพของคนไทยหรือคนในชาติ คงยากที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น หรือภายใน 1-2 ปีนี้ครับ เพราะฉะนั้นเมื่อ "ปัจจัยภายนอก" กระแทกใส่เข้ามาแล้ว คงจะ "หนัก" ครับ เพราะภายในก็ยังแบ่งสี แบ่งพวก เล่นการเมือง ตีกันอยู่อย่างนี้ แต่ละฝ่ายคิดถึงแต่อำนาจและความอยู่รอดของตัวเอง ถ้าประเมิณจาก " วิธีการบริหารจัดการ " ในแก้ปัญญาน้ำท่วมใหญ่ครั้งที่ผ่านมาก็คงจะพอจะเดาทิศทางได้นะครับ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องมองในภาพรวม เพราะปัญหาใหญ่ๆ ขนาดนั้นต้องการการแก้ปัญหาในระดับนโยบายหรือในระดับชาติที่ถูกทางและตรงจุด โดยเฉพาะจะยึดตามกรอบ ตามตำราฝรั่งไม่ได้เลยครับ เพราะครั้งนี้ปัญหาทั้งหมดมาจากฝรั่งล้วนๆ   

แต่ในใจลึกๆ ผมก็ยังมีความหวังว่า เมื่อวันนึงที่ปัญหาในระดับโลกอุบัติขึ้นแล้ว จะทำให้ทุกคนในชาติ ไม่ว่าจะสีไหน หรือพรรคอะไร จะตระหนักถึงผลกระทบอันรุนแรงที่จะเกิดขึ้นต่อทุกคนในชาติอย่างเท่าเทียมกันหมด ไม่ว่าคุณจะเลือกอยู่ข้างเสื้อสีไหนก็ตาม ผมหวังว่าวันนั้นจะเป็นวันที่คนไทยจะระลึกได้ว่าทุกคนก็เป็นคนไทยเหมือนกัน ยังสามารถที่หลอมรวมกัน กลับมาเป็นคนไทยเหมือนก่อนที่วิกฤติการณ์ทางการเมืองจะแบ่งแยกพวกเราออกจากกัน เพื่อฝ่าฟันปัญหาต่างๆไปพร้อมกัน ด้วยความเป็นเอกภาพในที่สุด


The Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook
http://www.facebook.com/home.php?sk=group_170408246326805&ap=1

4 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ28 ธันวาคม 2553 เวลา 06:42

    ถึงวันนั้นแล้ว ก็หวังว่า จะมีคนอย่างคุณลุกขึ้นมาเคาะระฆังเตือนภัยกันมาก ๆ

    แต่อย่างว่าแหละครับ คนจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่กรรมของเขาแล้วละครับ

    วีระชัย ว.

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ28 ธันวาคม 2553 เวลา 14:54

    เห็นด้วยทุกประการ ตามที่คุณจิมมี่เขียนในบทความฉบับนี้ครับ ... คุณจิมมี่กำลังเตรียม physical อะไรอยู่บ้าง น่าสนใจครับ ... เมื่อไหร่จะตั้งเรื่องแชร์กันเกี่ยวกับส่วนนี้ล่ะครับ?? :)

    ตอบลบ
  3. คุณจิมมี่ค่ะ ตามอ่านมาได้สักพักแล้วค่ะ ตอนนี้อยู่ที่ประเทศสวิสควรจะกลับไทยดีไหมค่ะ แล้วพวกเงินประกันทำที่สวิสเนี่ยควรเอาออกไหมค่ะ ตอนนี้กำลังเริ่มปรับตัวและเตรียมตัวรับมือกับสถานการที่จะเกิดนะค่ะ.. ถ้าเอาเงินออกมา ควรซื้อทองเก็บหรือซื้ออหารตุนไว้ดีค่ะเพราะเงินก็ไม่ได้มีมาก รบกวนถามมากหน่อยเพราะไม่รู้จะไปทิศทางไหนดี

    ตอบลบ
  4. ไม่ทราบว่าใช้ facebook อยู่หรือเปล่าครับ ลอง add เข้ามาที่ห้องนี้นะครับ

    http://www.facebook.com/groups/170408246326805/

    ตอบลบ