"ประเด็นที่จะเขียนต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่อ่านแล้วทำความเข้าใจ หาข้อมูลเพิ่มเติมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ตรึกตรอง ผมมีหน้าที่มาเตือนเพื่อให้รู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น การตัดสินใจอะไร หรือเมื่อไหร่ให้เป็นเรื่องของคุณ และเหตุผลของตัวคุณเองครับ"
อย่างที่ผมบอกเสมอครับว่า สิ่งที่ผมเขียนมันเป็นจิ๊กซอแต่ละตัวของเหตุการณ์ ถ้าอ่านแล้วไม่มีการเชื่อมโยงกันคุณก็จะไม่เห็นอะไร ถ้าจะเขียนให้สั้นๆ ก็รายละเอียดไม่พอ ไม่มีน้ำหนัก ก็ไม่รู้จะเขียนไปทำไมคงช่วยอะไรใครไม่ได้ เลยออกมาในรูปแบบนี้ครับ ก็พยายามทำให้ดีที่สุด และตรงนี้ผมจะโยงเรื่องราวต่างๆ เข้าด้วยกันแล้วเสริมที่ขาดไปที่ไม่มีในโพสต์ที่ผ่านๆ มา ถ้าสงสัยให้กลับไปที่โพสต์นั้นๆ ครับเพื่ออ่านฉบับเต็มๆ
ลองดูจิ๊กซอตัวเหล่านี้ครับ:
9.11.1991 จอร์จ บุ๊ชผู้พ่อ ประกาศเรื่อง New World Order หรือการจัดระเบียบโลกใหม่ ไม่ค่อยมีใครเข้าใจครับว่ามันคืออะไร แต่ฟังแล้วน่าจะดีครับ
9.11.2001 จอร์จ บุ๊ชตัวลูก และทีมงาน ก่อวินาศกรรมประเทศตัวเอง เอาเครืองบินชนตึกเวิลเทรดเซ็นเตอร์ แล้วพาประเทศเข้าสู่ส่งคราม ระดมเงินมหาศาลเพื่อไปลงการทหารหรือที่เรียกว่า Military Complex
2001 CFR ซึ่งเป็นหน่วยงานมันสมองคอยวางแผน เทียบได้กับอีลูมินาติที่ทำเรื่องการทหาร วางแผนเพื่อล้มเศรษฐกิจของอเมริกาและเศรษฐกิจโลก คือเอกสารที่เมลล์ให้ไปนนั่นแหละครับ
2001 เป็นต้นมาราคาทองพุ่งสูงขึ้นไม่หยุดมาตลอดต่อเนื่องจนถึงวันนี้ครับ
2002 จากเหตุการณ์เวิลด์เทรดเซนเตอร์ เศรษฐกิจสหรัฐใกล้ล้มเต็มที่ เนื่องจากฟองสบู่แนสแด๊กหรือตลาดหุ้นไฮเทค หรือด๊อตคอมต่างๆ ที่แตกไปก่อนหน้านั้นแล้ว ถ้าตอนนั้นเค้ายอมล้มวันนี้เค้าฟื้นไปแล้วครับ แต่
2002 อลัน กรีนสแปน เลือกวิธีที่จะลากไปต่อ ด้วยการลดดอกเบี้ยลงต่ำติดดิน ทำให้เกิดฟองสบู่ลูกใหม่ที่ใหญ่มหึมา คือฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์และการเก็งกำไรราคาบ้านและที่ดิน แล้วเรียกว่าเป็น "American Dream" หรือการมีบ้านของตัวเองให้คือความฝันของคนอเมริกันนั่นเอง ทำอย่างเฟื่องฟูเพราะดอกเบี้ย 0% เต็มตลาดการเงินไปหมด ให้กู้แม้กระทั้งคนที่ให้ไม่ได้ เพราะเงินมันล้นระบบครับ หรือที่เรียกว่า Sub-Prime Loan นั่นเอง "ไม่มีเครดิต เครดิตเสีย เครดิตไม่ดี ไม่มีปัญหา เราซ่อมได้ ซื้อบ้านได้แม้แต่ไม่ใช่คนอเมริกัน" เละเลยครับทีนี้
2007 ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตก กลุ่มแรกคือ Sub-Prime Loan นั่นแหละ เพราะอะไรถึงมาได้ตั้งหลายปี เพราะตอนซื้อทั้งลดทั้งแถมแบบยัดเยียดบ้านให้ ล๊อคดอกเบี้ยต่ำ 5 ปีบ้าง 7 ปีบ้าง สารพัดการตลาดใส่ลงไปในระบบการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ แล้วหลังจาก 5 ปี 7 ปีล่ะ แตกไงครับ จาก "American Dream" กลายมาเป็น "American Nightmare" หรือฝันร้ายของชาวอเมริกันครับ เพราะอะไร หลังจากที่ขายบ้านได้แล้ว ก็ขึ้นโครงการใหม่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ครับ ( เอ คุ้นๆ นะอันนี้ ) ส่วนธนาคารปล่อยกู้ได้แล้วเอาสัญญานั่นไปขายต่อกันเป็นทอดๆครับ แต่ก่อนขายมีการแยกระดับชั้นของหนี้ แล้วมีการจัดขั้นหนี้แล้วประทับรับรองโดยสถาบันจัดอันดับต่างๆ เช่นมูดี้ เป็นต้น ยังไม่พอคนซื้อถ้าไม่แน่ใจสามารถซื้อประกันค้ำไว้อีกได้ครับทุกกลุ่มชั้นหนี้เลย เรียกว่า CDS และ CDO แล้วเอาเอกสารนี่ไปขายกันเป็นทอดๆอีกทีนึงครับ
2008 Bearstern, Fanni Mae, Freddie Mac, Lehman Brother และอีกหลายบริษัทระดับโลกอายุเป็น 100 ปี ล้มครับ เพราะทนรับหนี้เสียไม่ไหว แล้วล้มเพิ่มจากการเข้าไปค้ำประกันหนี้เหล่านั้นครับ
2008 ปลายปีจอร์จ บูชตัวลูก บอกว่าต้องอุ้มครับ บริษัทเหล่านี้ ไม่อุ้มไม่ได้ประชาชนจะเสียหาย เศรษฐกิจจะล้มละลายกันทั้งหมด ยังไงก็ต้องอุ้ม เลยผ่านกฏหมายอัดฉีดเงินเข้าระบบเป็นมูลค่า 700 Billion ครับ เงินตรงนี้มาจากไหน "จากอากาศ" ปั๊มใส่เข้าไปก่อนแล้วค่อยทยอยเอาเงินภาษีขอประชาชน ในอีก 3-4 ชั่วอายุคนข้างหน้าไปทยอยจ่าย จึงเกิดคำว่า " Too Big Too Fail " หรือใหญ่เกินไปที่จะปล่อยให้ล้มได้
2009 โอบาม่าเข้ารับตำแหน่งก็บอกว่า เอ้า ธนาคารและบริษัทประกัน (ของพวกเรากันเอง) ที่มีส่วนในการปล่อยกู้และค้ำประกันก็จะล้มด้วย ไม่ได้ต้องอุ้มเหมือนกัน ผ่านกฏหมายใส่ไปอีกกว่า 700 Billion เข้าไปอุ้ม แบงค์ใหญ่ๆ บริษัทประกัน และบริษัทการเงิน ( ที่เป็นผู้ให้เงินสนับสนุนรัฐบาลในการเลือกต้ังและยังเป็นผู้ถือหุ้น FED อีกต่างหาก )
2010 มกราคม มีการคาดการณ์ว่าอาจจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะนี้โดยการปั๊มและอัดเงินจำนวนมหาศาลเข้าไปอุ้มบริษัทต่างๆที่เป็นของพวกเค้าเอง เป็นรอบที่ 2 หรือที่เรียกว่า Stimulus II แต่ครั้งนี้คงไม่ง่ายแล้วครับ
ติดตามตอนต่อไปครับ.......
ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ "เราไม่สามารถช่วยได้ทุกคน แต่เราช่วยคนที่ตื่นจากฝันได้ทุกคน" โชคดีนะครับ
ตอบลบขอบคุณครับ กำลังรอติดตามอ่านเพิ่มเติมนะครับ ตอนนี้ผมกลายเป็นคนบ้าในสายตาคนอื่นไปแล้วเที่ยวเอาเรื่องนี้ไปบอกไปเตือนคนที่ผมรัก แต่ก็กลายเป็นตัวตลกในสายตาเค้า ไม่เป็นไรครับ ผมเชื่อมั่นในตัวเองครับ
ตอบลบCan't fight fate! จะลุกขึ้นสู้ดีหรือก้มหน้ายอมรับชะตากรรมดี
"จนวันนึงผมก็เจอเรื่องนึงเข้าโดยบังเอิญ แต่สุดท้ายผมก็เชื่อว่ามีใครบางคนมาบอกอะไรเราบางอย่างครับ ด้วยวิธีไหนเรื่องมันเหนือธรรมชาติและยาวครับ เอาไว้จะเล่าให้ฟังวันหลังครับ"
ตอบลบรออ่านตอนสองอยู่ครับ ...อ่านถึงโพสท์นี้ถึงรู้ว่าคุณจิมมี่ได้รับการบอกด้วยวิธีเหนือธรรมชาติ ...หน้าที่คุณจิมมี่คือช่วยบอกคนที่มีโอกาสได้รู้เรื่องนี้เหรอครับ?? และจริงๆ แล้วอยากบอกว่าอะไรครับ ที่เป็นประโยคแบบว่าตรงประเด็นเลย ถ้าสมมติว่าคนที่อ่านอยู่นี่รู้เรื่องแบ๊คกราวน์ทั้งหมดเหมือนคุณจิมมี่แล้วอ่ะครับ??
เรื่องนี้ไม่ใช่ผมคนเดียวที่รู้ครับ คนรู้เยอะมาก แต่ระดับไหนเท่านั้นเอง แต่ส่วนใหญ่ที่รู้ออกไปหมดแล้วครับ ไปแคนาดา อเมริกากลาง อเมริกาใต้ สิงคโปร์ เมืองไทยก้็เยอะ ออกมาก่อนผมอีกครับ เยอะมากๆ 2008 มี 2 ล้านครอบครัวที่ออกจากอเมริกา ขนเงินออกไปมหาศาล มีลิีงข่าวอยู่ในโพสต์เก่าๆ ครับ
ตอบลบใครจะว่าเราบ้าหรือไม่ ปล่อยไปครับ อีกแป๊บเดียวครับ ไม่นานเลยครับ เหตุการณ์จะพิสูจน์ตัวมันเอง ใครรู้ก่อนใครเตรียมตัวได้ก่อนครับ
เรื่องนี้ไม่ต้องสู้เลยครับ มันเกินตัวเราไปมหาศาล ครั้งนี้รักษาตัวรอดให้ได้นานที่สุดครับ เราเตรียมแล้ว ถ้ามันยิ่งชัดเจนก็เตือนคนอื่น เค้าจะเข้าใจแค่ไหนเรื่องของเค้าครับ ถือว่าเราเตือนแล้ว แต่ต้องเตือนกันครับ ผมก็ทำแบบนี้เหมือนกันครับ ใครจะว่ายังไงเราไปห้ามเค้าคิดไม่ได้ครับ สุดท้ายผมเชื่อว่าถ้าเค้าถูกเลือกไว้ให้อยู่รอด เค้าก็จะรอด จะว่าเป็นเรื่องของบุญของกรรมก็แล้วแต่ครับ
ยังมีคนดีๆ เค้ารู้เรื่องนี้เยอะครับ เค้าก็ช่วยคนของเค้า อันนั้นยิ่งน่านับถือครับ เค้าไม่หนีออกจากเมกาด้วย เค้าบอกว่าเค้าไม่มีที่ไปครับ และก้ไม่อยากไปไหนก็มี ผมชวนมาก็เยอะแต่ไม่อยากไปฝืนใจ มันก็บ้านเกิดเมืองนอนเค้าครับ
ผมรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ครับ เพราะมันบุกมาถึงปากประตูบ้านเราแล้วครับ ดูแล้วบ้านเราก็ตามเค้าหมด ต้อนรับเค้าอย่างดีซะอีก "มึนครับ" ก็จะทำเต็มที่ครับ ทำเท่าที่ทำได้นี่ล่ะครับ
บางทีก็เหมือนตัวตลกในสายตาเพื่อนๆครับ บางทีก็หาว่าบ้ามั่งครับ แต่ผมว่าเรื่องแบบนี้มันต้องเดิมพันด้วยชีวิตเลยครับ เพราะทุกอย่างใกล้จะแย่เข้าไปทุกทีแล้ว ขอเป็นกำลังใจให้คุณจิมมี่ ผมชอบบทความของคุณจังเลยครับ
ตอบลบอ่านเรื่องในเว็บนี้แล้วทำให้ inter ขึ้นเยอะเลยค่ะ หุหุ
ตอบลบ